Overlord Volume 5 Chapter 1

(อันนี้จาก 



Part 1
9 เดือน, วันที่ 2 23:30

ชายคนหนึ่งจุดจะเกียงที่ห้อยเอวของเขาอยู่ ด้วยน้ำมันชนิดพิเศษในตะเกียงทำให้เกิดแสงสีเขียวที่เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้ดูน่ากลัว

เขาก้าวออกไปหลังจากได้รับความอบอุ่นเข้าสู่ร่างกาย แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบใจในฤดูกาลนี้ ไม่ว่าที่ไหนๆก็ไม่พบแสงอาทิตย์ในตลอดทั้งวัน ทุกๆที่ในราชอาณาจักรอบอวลไปด้วยความชื้น ไม่มีสัญญาณใดๆเลยที่บ่งบอกว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้กำลังจะผ่านพ้นไปหรือากาศจะเย็นลง

"เฮ้อ วันนี้ก็ร้อนอีกแล้ว"





"อย่าล้อเล่นน่า ไหนพวกนั้นบอกว่าลมทะเลจะทำให้เย็นขึ้นไง"


คู่หูในคืนนี้พูดตอบการบ่นของเขา


"หวังว่าถ้าฝนตกแล้วจะหายร้อนสักหน่อยนะ"


เขามองไปบนฟ้าในขณะที่เขาพูด แต่เห็นเพียงท้องฟ้าที่ไม่มีร่องรอยของเมฆแม้แต่ก้อนเดียวเดียว ไม่ต้องพูดถึงเมฆฝน ดาวที่ส่องแสงสดใสช่างเป็นภาพของท้องฟ้ายามค่ำ??คืนที่คุ้นเคย


"จริงๆแล้ว ฉันหวังว่าจะมีลมนะ... เอาล่ะ ไปทำงานกัน"


ทั้งสองคนมีบรรยากาศที่ยากจะบอกว่าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา อย่างแรกคืออุปกรณ์ของพวกเขา ดาบยาวที่เอวของพวกเขาและชุดเกราะหนัง อุปกรณ์ของพวกเขานั้นดีเกินไปสำหรับอาสาสมัครหมู่บ้าน ไม่เพียงแค่นั้น ใบหน้าและร่างกายของพวกเขาไม่เหมือนคนที่ทำไร่นา อีกทั้งพวกเขามีกลิ่นอายอันตรายของคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับความรุนแรง


ชายสองคนเดินเข้าหมู่บ้านโดยไม่พูดคุยแม้แต่คำเดียว


ความเงียบภายใต้ความมืด เสียงเดียวที่ได้ยินในหมู่บ้านคือเสียงเดินของพวกเขา เหมือนเป็นเมืองร้าง ทั้งสองคนเดินผ่านชั้นบรรยากาศที่น่าขนลุกด้วยการก้าวเท้ายาวๆ ความสงบของพวกเขานั้นยืนยันได้ว่านี่คือเรื่องปกติ


หมู่บ้านที่พวกเขากำลังเดินผ่านนี้ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและเมื่องมองคร่าวๆก็จะเห็นหอสังเกตุการณ์หกหอ เป็นเรื่องยากที่จะหาป้อมปราการที่แข็งแกร่งแบบนี้แม้กระทั่งหมู่บ้านตามชายแดนที่มอนสเตอร์ปรากฏตัวบ่อยก็ตาม


แทนที่จะเรียกมันว่าหมู่บ้าน ควรเรียกว่าฐานทัพจะถูกต้องกว่า


ถึงจะพูดอย่างนั้นคนภายนอกอาจเห็นมันเป็นแค่หมู่บ้านที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาก็ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นถัดไปทำให้พวกเขาต้องขมวดคิ้ว


ปกติกำแพงจะอยู่ล้อมรอบอาคารที่อยู่อาศัยหรือโกดังเก็บของในขณะที่พื้นที่ทำการเกษตรกระจายออกไปข้างนอก การทำนาภายในกำแพงนั้นจะใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะล้อมรอบพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดอย่างไรก็ตามหมู่บ้านนี้รายล้อมไปด้วยหญ้าเขียวขจีที่ไหวไปตามลมและได้รับการปกป้องราวกับว่าทำมาจากทองคำ


ชายที่กำลังเดินอยู่ในเมืองรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องเขาจากหอสังเกตุการณ์ ในความจริงแล้วมันควรจะของเป็นเพื่อนของเขาที่ใช้ธนู หากมีอะไรเกิดขึ้นเขาจะร้องขอความช่วยเหลือด้วยการเขย่าโคมไฟเหนือหัวของเขา


ระหว่างคิดถึงทักษะธนูของเพื่อน เขาก็ได้เดินผ่านจุดที่มีแสงไฟ ถึงอย่างนั้นเพียงแค่การสั่นระฆังเพื่อปลุกคนอื่น ๆ ก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย


แต่ถ้าเขาบังเอิญส่งสัญญาณโดยอุบัติเหตุ เขาจะต้องเจ็บตัวเพราะเพื่อนของเขาที่ถูกปลุกขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเขาก็พร้อมที่จะเขย่าโคมไฟให้เร็วที่สุดเเมื่อเขารู้สึกผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย


แน่นอน เขาไม่ได้อยากจะเสียชีวิตนี่นา


ว่าไปแล้ว มันก็น่าสงสัยว่าสถานการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นไหม เขาทำงานซ้ำๆแบบนี้มาสองเดือนแล้วและยังคงทำต่อไป


ในขณะที่เขาเดินลาดตระเวนไปได้ครึ่งทาง บางอย่างคล้ายงูได้พุ่งใส่ปากของชายคนนั้น ไม่สิ มันไม่ใช่งู สิ่งที่ยึดปากของชายคนนั้นและไม่ขยับเขยื้อนเป็นเหมือนหนวดของปลาหมึก


คางของเขาถูกบังคับให้เงยขึ้นไปและตามมาด้วยความเจ็บปวดจากการถูกดึง ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว


เสียงดูดดังจากคอของเขา


นั่นเป็นเสียงสุดท้ายในชีวิตที่เขาได้ยิน


มือที่จับปากของชายคนนั้นที่ปล่อยออก หลังของเขาถูกดันเพื่อให้ร่างกายจะไม่ล้มลง หลังจากยืนยันว่าดาบได้ดูดเลือดแล้ว เมจิคไอเท็ม 'Vampire Blade' ก็ถูกดึงออกมา


ผู้ที่กอดเขาจากด้านหลังนั้นอยู่ในเครื่องแต่งกายสีดำ นอกเหนือจากดวงตาและใบหน้าที่ถูกซ่อนแล้วร่างกายทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยชุดคลุมสีดำ ตัวชุดนั้นทำมาจากผ้า แต่ถุงมือและสนับแขน/ขามีไว้เพิ่มการป้องกัน เช่นเดียวกับหน้าอกที่ถูกปิดไว้ด้วยแผ่นโลหะ แต่ยังคงสามารถเห็นทรวดทรงของเพศหญิงได้อย่างง่ายดาย


ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็แต่งกายด้วยชุดแบบเดียวกัน พวกเธอหันไปสบตากัน และพยักหน้าหนึ่งครั้ง


เมื่อยืนยันว่าการลอบสังหารประสบความสำเร็จ เธอตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ ไม่มีสัญญาณว่าถูกจับได้


ถึงแม้จะมีแสงจากตะเกียงที่พวกเขาติดไว้แนบชิดกับร่างกาย แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะเห็นความแตกต่างจากหอสังเกตการณ์ ความกังวลนั้นกิดในพริบตาที่โจมตี ระยะทางสั้นๆที่เคลื่อนที่ไประหว่างเงา 'Dark Crossing' แต่ความกังวลนั้นก็ผ่านไป


มีดสั้นที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจากการดื่มเลือดยังคงปักคาไว้ เธอพยุงร่างกายที่กำลังจะล้มลง


คนที่อยู่บนหอคอยมองเห็นแค่ว่าคนที่ลาดตระเวนได้หยุดลงเพียงชั่วครู่


มันถึงเวลาที่จะไปยังขั้นตอนถัดไป อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเธอ


หญิงสาวสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่ในมือของเธอ ร่างไร้ชีวิตนั้นเริ่มแข็งเหมือนข้างในถูกขึ้นรูปขึ้นโดยเสา ถ้าเธอจำไม่ผิด หลังจากนี้ร่างกายของเขาจะกระตุก


ไม่มีความสงสัยแม้ว่าร่างที่ตายไปแล้วจะขยับ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน


หญิงสาวปล่อยมือของเธอและใช้งานสกิลในเวลาเดียวกัน หนึ่งในสกิลที่เธอได้เรียนรู้จากคลาสนินจา 'Hide Shadow' ตราบใดที่ยังมีเงาอยู่สามารถเข้าไปซ่อนในนั้นและไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยตาเปล่า

ปล่อยให้ทั้งสองคนที่ตอนนี้ได้ซ่อนอยู่ในเงาเรียบร้อยแล้วไว้ข้างหลัง ชายทั้งสองก็เริ่มเดินไปข้างหน้าราวกับเขาเพิ่งถูกปล่อยออกจากโซ่ที่พันธนาการไว้ พวกเขากลับมาเดินตรวจตราตามเส้นทางของพวกเขาต่อ มันเหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งจำหน้าที่แรกเริ่มของเขาได้ แต่ความเร็วการเดินของพวกเขานั้นเงอะงะและอืดอาด แม้ว่าบาดแผลของพวกเขาไม่ได้สมานกันสนิท แต่ก็ไม่มีเลือดสด ๆ ไหลออกมาจากรอยฟันบนคอของพวกเขา เพราะว่าเลือดของพวกเขาถูกดูดออกไปจนหมดแล้ว

มีเพียงเหตุผลเดียวที่พวกเขายังคงเคลื่อนไหวได้อยู่ พวกเขาได้กลายเป็นซอมบี้แล้ว และตอนนี้ได้แต่ทำตามคำสั่งของผู้ที่สร้างพวกเขาขึ้นมา

ผู้ที่เปลี่ยนพวกเขาเป็นซอมบี้ไม่ใช่ผู้หญิงสองคนนั้น

เมื่อมองดูอย่างปกติทั่ว ๆ ไป คงจะเห็นว่าคนที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่มีเพียงชายสองคนนี้เท่านั้น แต่หากใครสักคนมองทะลุความสามารถในการพรางตัวของพวกเธอได้ ก็ยังคงเห็นว่าที่ตรงนั้นมีไม่เกิน 4 คน แต่ว่ายังมีคนที่ 5 ร่างของคนที่ 5 ที่มองไม่เห็นนั้นเป็นคนที่รับผิดชอบกับพวกซอมบี้

ร่างที่ล่องหนก็ยังคงเป็นผู้หญิง แต่วิชานินจาของพวกเธอก็ทำให้เธอทั้งสองตรวจจับตัวตนที่หลบซ่อนตัวอยู่จากการใช้เวทมนตร์หรือสกิลก็ตาม ความสามารถนี้ได้ตอบสนองกับคนที่อยู่ข้างหน้าของพวกเธอ

“ตรงนี้เตรียมการเสร็จแล้ว”

“เยี่ยม”

เสียงพูดที่ต่ำดังออกมา และเสียงเล็ก ๆ ก็ตอบกลับในทันที

“มองดูก็รู้แล้ว ฉันจะย้ายไปยังที่อื่นต่อ ฉันจับคนที่มีอำนาจสูงสุดของที่นี่ได้แล้ว”

ยังเป็นเสียงของผู้หญิง แต่มีโทนเสียงที่สูงที่ยังขาดความเป็นผู้ใหญ่และให้ความรู้สึกของความเป็นเด็ก

“ฝ่ายเราจะเริ่มโจมตีแล้ว แล้วอีกสองคนล่ะ”

“อย่าบอกนะว่า ยัยพวกนั้นกำลังเล่นกันอยู่ตรงไหนสักแห่ง เพราะยังไม่ถึงเวลาออกโรง”

“ไม่มีทาง พวกนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกใกล้กับหมู่บ้านนั้นแหละ แผนของพวกนั้นก็คือเข้าโจมตีจากข้างหน้าและหลังเมื่อเกิดเรื่องคับขัน เอาล่ะนะ ฉันจะเคลื่อนไปยังจุดที่สำคัญสูงสุด เธอทั้งสองทำตามแผนไปด้วย”

เพื่อนที่ล่องหนของพวกเธอ – แม้จะเป็นเพียงการรู้ถึงการมีอยู่ – ทะยานขึ้นไปในอากาศ เธอใช้ [Flight] เคลื่อนที่ไปกลางอากาศ

ตัวตนที่รู้สึกได้ว่ามีอยู่นั้นลอยห่างออกไปและห่างออกไปไกลจนกระทั่งหายไปตรงอาคารที่เธออ้างว่ามีลำดับความสำคัญสูงสุด มันเป็นอาคารหนึ่งในอาคารจำนวนไม่กี่หลังที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเหมือนกับเป็นสถานที่สำคัญที่ต้องมีการรักษาความปลอดภัยเป็นอันดับแรกและสำคัญที่สุด

ปกติแล้ว พวกเขาต้องการที่จะจัดลำดับความสำคัญให้กับอาคารที่ดูแตกต่างกัน แต่เหตุผลที่เจาะจงสถานที่แห่งนั้นมีความสำคัญนั่นเป็นเพราะเวทมนตร์ [Message]

มีหลาย ๆ คนที่เลี่ยงใช้เวทมนตร์นี้ โดยบอกว่ามันไม่น่าเชื่อถือ ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้ที่ไม่สนใจและใช้มันโดยไม่ฟังใคร ได้แก่ ทางจักรวรรดิได้นำหน้าราชอาณาจักรไปก่อนแล้ว เมื่อได้หันมาทำนุบำรุงการเจริญรุ่งเรืองของแมจิก แคสเตอร์ ผู้ซึ่งต้องการข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และศัตรูที่ปกครองหมู่บ้านแห่งนี้ เช่นนั้น มันเป็นความจำเป็นในการรักษาความปลอดภัยเป็นอันดับแรกแก่ตัวแทนประสานงานที่อยู่ในอาคารหลังนั้น

ตอนนี้เพื่อนของพวกเธอได้มุ่งหน้าไปยังที่นั้นแล้ว พวกเธอยังคงรอกบดานอยู่ตรงสถานที่ที่พวกเธอได้รับมอบหมาย ทุก ๆ คนต่างทำเวลาและจู่โจมสำเร็จในขณะที่พวกเธอยังคงไม่ถูกตรวจจับได้

นินจาทั้งสองได้พุ่งตัวออกมาและวิ่งตรงไปข้างหน้า

พวกเธอเคลื่อนที่ไปมาระหว่างเงามืด ไม่ถูกพบเห็นโดยคนทั่วไป ไม่สิ ถ้าพวกเธอใช้ไอเท็มเวทมนตร์ที่พกมาด้วย แม้แต่นักผจญภัยก็ยังยากที่จะสังเกตพวกเธอได้ พูดได้ว่า ไม่มีใครในหมู่บ้านนี้สามารถมองเห็นพวกเธอสองคนด้วยตาเปล่าได้

เพื่อนของเธอที่วิ่งคู่กันมาขยับนิ้วของเธออย่างคล่องแคล่ว แม้จะดูเหมือนว่าเธอเพียงแค่บิดนิ้วไปมาเท่านั้น แต่คนอื่น ๆ ที่มองเห็นก็รู้ความหมายของมันได้ว่า ---

--- ช่างโชคดีที่พวกมันไม่มีหมา

เธอแสดงนิ้วเป็นคำตอบว่า 'เห็นด้วย'

มันเป็นภาษาสัญญาณที่ใช้โดยพวกนักลอบสังหาร ในระดับความเชี่ยวชาญของพวกเธอนั้น พวกเธอสามารถสื่อสารได้เร็วเท่า ๆ กับการพูด แม้ว่าพวกเธอจะได้สอนสิ่งนี้ให้กับพรรคพวกคนอื่น ๆ ด้วย แต่น่าเศร้าใจที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดคือวลีหรือคำสั่งง่าย ๆ ในทางกลับกัน ทั้งความเร็วและคำศัพท์ในการส่งสัญญาณของพวกเธอนั้น อยู่ในระดับที่พวกเธอสามารถใช้พูดคุยในชีวิตประจำวันและใช้มันบ่อย ๆ ในการคุยอย่างลับ ๆ กับคนอื่น ๆ

--- ฉันรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร มันทำให้งานง่ายขึ้นเพราะพวกมันจะไม่ถูกดึงดูดจากกลิ่นเลือด

ถ้าพวกศัตรูมีสุนัขล่ะก็ นี่ก็จะไม่ง่ายดายอย่างนี้ แม้ว่าพวกเธอได้เตรียมวิธีการจัดการพวกมันก็ตาม ไม่มีอะไรที่น่ายินดีมากไปกว่าการหลีกเลี่ยงงานที่ไม่จำเป็น

เร็วเท่าที่เธอตอบไป เพื่อนของเธอขยับนิ้วอย่างรวดเร็ว

--- ถ้าอย่างนั้น ฉันจะตรงไปยังที่เป้าหมายนะ

เร็วเท่าที่เธอตอบยืนยันกลับไป เพื่อนของเธอที่วิ่งเคียงคู่เธอมาก็ได้แยกตัวออกไป

เธอที่เหลืออยู่คนเดียวในตอนนี้ ได้มองไปที่ท้องทุ่งที่อยู่นอกสายตาของเธอในขณะที่วิ่งไปด้วยความเร็วสูง สิ่งที่เพาะปลูกอยู่ในทุ่งไม่ใช่พันธุ์พืชอย่างบาร์เลย์หรือผัก มันคือพืชที่เป็นวัตถุดิบของยาเสพติดที่ผิดกฏหมายและแพร่หลายมากที่สุดในราชอาญาจักรนั้นคึอ ธุลีดำ [Black Dust] บนพื้นที่ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงพวกนี้ มีท้องทุ่งอยู่มากมายในหมู่บ้านที่ต่างก็ปลูกพืชชนิดเดียวกันนี้ นั้นแสดงว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหนึ่งในบรรดาฐานที่ผลิตยาเสพติดพวกนี้

ธุลีดำ ยังถูกเรียกว่า ผงไลรา [Laira Powder] ยาตัวนี้เป็นผงสีดำเข้มเมื่อถูกผสมหรือโดนน้ำ

มันง่ายที่ผลิตในปริมาณมาก ดังนั้นจึงขายได้ถูก เพราะความเมาได้ง่ายและเคลิบเคลิ้มเป็นสุข มันจึงโด่งดังที่สุดในราชอาณาจักร ไม่เพียงแค่นั้น มีหลายคนเชื่อว่ายาตัวนี้ไม่ได้เสพติดและไม่มีผลข้างเคียง นั้นเป็นสาเหตุทำให้มันแพร่กระจายไปเป็นวงกว้าง

เธอนึกถึงข่าวสารปลอมนั้นและหลุดหัวเราะออกมา

ยาแบบนั้นไม่มีอยู่จริงไม่ว่าที่ไหนก็ตาม 'ฉันจะเลิกเมื่อฉันอยากเลิก' ใช่ไหม? มันเป็นความซื่อที่ควรมีข้อจำกัดบ้าง ผลจากการทดสอบพิสูจน์ของเหลวที่ได้จากผู้เสพติดผงสีดำนี้ได้แสดงให้เห็นว่าสมองของผู้เสพได้ฝ่อลงไปประมาณร้อยละ 8 ของขนาดสมองโดยเฉลี่ยทั่วไป

ทำจากพืชที่เดิมเติบโตอยู่ในป่า ธุลีดำเป็นยาเสพติดที่ร้ายแรง มันน่าแปลกใจที่คนเชื่อว่าไปได้อย่างไรว่าพืชที่ร้ายกาจนี้ไม่อาจทำให้เสพติดได้ สาเหตุที่ธุลีดำนั้นระบาดไปทั่วเมืองโดยถูกระบุชื่อเป็นยาแก้ปวด เป็นเพราะว่าพืชที่ปลูกที่นำมาสร้างยาพวกนี้นั้นมีฤทธิ์ที่ต่ำ

แต่ว่า ยาตัวนี้ก็ยังเป็นสิ่งเสพติดที่ร้ายแรงและใช้เวลานานในการถูกขับออกจากร่างกายของผู้เสพอย่างสมบูรณ์ ผลที่ตามมาก็คือ มีตัวอย่างเรื่อย ๆ ที่ผู้เสพติดยาได้รับยาอีกครั้งก่อนที่มันจะมีโอกาสถูกขับออกจากร่างกาย ถ้าหากบิชอป [Bishop] ไม่ใช้เวทมนตร์ในการบังคับดึงดูดมันออกมา ในท้ายที่สุดผู้เสพติดจะเข้าสู่ระยะของการเสพติดที่มันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะเลิกเสพอย่างเด็ดขาดจากความตั้งใจของตนเอง

ปัญหาของยาเสพติดอันน่ากลัวก็คือว่าการที่มันมีอาการถอนที่อ่อน แม้ว่าทางผู้เสพได้ลิ้มรสประสบการณ์กับช่วงเวลาที่เลวร้ายจากอาการเคลิ้มจากยา พวกเขาก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาที่รุนแรงหรือก่ออันตรายต่อสิ่งรอบข้างพวกเขา นั้นเป็นเหตุผลที่ทางเบื้องบนของราชอาณาจักรไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงอันตรายของมันและส่วนใหญ่เมินเฉยต่อธุลีดำ แต่พวกเขาเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ความพยายามในการเปิดเผยยาตัวอื่นแทน มันจึงไม่แปลกใจเลยที่ทางจักรวรรดิยังสงสัยว่าทางราชอาณาจักรอาจจะแอบช่วยเหลือในการผลิต

ในช่วงเวลาที่เธอใช้ชีวิตเป็นนักลอบสังหารนั้น เธอก็เคยใช้ยาในสถานการณ์ที่ต้องใช้มัน และเพราะองค์การของเธอก็เพาะปลูกพืชที่คล้ายกันด้วย เธอจึงไม่มีความรู้สึกไม่ดีอะไรต่อเรื่องนี้ แม้แต่ยาเสพติดก็มีผลที่ยอดเยี่ยมได้ถ้าใช้อย่างรอบคอบ อย่างที่บอก มันก็ไม่ต่างไปจากพืชสมุนไพรที่มีผลข้างเคียงที่อันตราย

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคำร้องขอและความคิดเห็นส่วนตัวของเธอก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ว่า ----

...คำร้องขอที่ไม่ได้ทำผ่านกิลด์นักผจญภัยนั้นอันตราย

เธอขมวดคิ้วอยู่ภายใต้หน้ากาก ลูกค้าในครั้งนี้คือเพื่อนของผู้นำทีม แม้จะมีผลตอบแทนที่เพียงพอ การรับคำร้องขอที่ไม่ผ่านทางกิลด์นั้นอาจสร้างปัญหากลับมาในอนาคต แม้ว่าพวกเธอจะเป็นกลุ่มหนึ่งในบรรดาเพียงสองกลุ่มที่เป็นนักผจญภัยระดับอดาแมนเทียม [adamantium class] ของราชอาณาจักร

หืมม์ ตอนนี้มีสามกลุ่มแล้วใช่ไหม?

อย่างที่เธอเอ่ยถึง เธอนึกถึงเรื่องที่ได้ยินมาว่ากลุ่มระดับอดาแมนเทียมกลุ่มใหม่ได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว --- ในขณะที่คิดเรื่องนี้อยู่นั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ไปถึงใกล้ ๆ อาคารที่ถูกตั้งชื่อรหัส [codename] ว่าหมายเลข 2

หน้าที่ของเธอคือเก็บรวบรวมข้อมูลชิ้นเล็กชิ้นน้อยทุกอย่างที่อยู่ในอาคารหลังนี้ ต่อมาเธอก็จุดไฟเผาทุ่ง

แม้ว่าความจริงแล้วควันที่มาจากการเผาพืชพวกนี้จะมีพิษ แต่มันก็ต้องทำตามคำสั่งในการจบภารกิจของเธอ ก็ขึ้นอยู่กับทิศทางลม อาจจะจบลงที่ว่ามันส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน แต่ไม่มีทั้งเวลาและแผนการอพยพแล้ว

จำเป็นต้องเสียสละ

ย้ำกับตัวเองอย่างมาก เธอโยนเรื่องความปลอดภัยของชาวบ้านไปอีกทางหนึ่ง

ถูกเลี้ยงดูมาในฐานะนักลอบสังหาร การสูญเสียชีวิตมนุษย์แทบไม่เคยมีผลกระทบต่ออารมณ์ของเธอ เธอไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนแปลกหน้า เธอเพียงแค่ไม่ชอบใจกับการแสดงออกของผู้นำทีมเมื่อมีการบาดเจ็บหรือล้มตายเกิดขึ้น แต่ในเมื่อแผนการนี้ได้รับการเห็นชอบจากผู้นำทีม เธอก็ไม่มีรู้สึกถึงแม้แต่เศษเสี้ยวถึงความต้องการที่จะออกไปช่วยพวกเขา

และที่สำคัญ พวกเธอต้องใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายในทันทีที่การจู่โจมจบลง เพื่อให้พวกเธอสามารถเคลื่อนย้ายไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งและทำงานซ้ำแบบเดิม ในหัวของเธอไม่ได้คิดอะไรอื่นนอกจากเรื่องเกี่ยวกับแผนการ

นี่ไม่ได้เป็นเพียงหมู่บ้านเดียวที่ปลูกพืชที่เป็นส่วนประกอบของยาเสพติด ตามการสืบสวนของพวกเธอ มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่อยู่สิบสองแห่งในราชอาณาจักร มีแนวโน้มว่ายังมีอีกมากนอกเหนือจากที่พวกเธอค้นเจอด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้น มันไม่มีทางที่จะอธิบายถึงปริมาณยาเสพติดที่ได้แพร่ระบาดไปทั่วดินแดนของราชอาณาจักรได้

วัชพืชที่ต้องถอนทิ้งทันทีที่พวกมันแตกใบ...แม้ว่าด้วยจำนวนที่มากล้นเหลือคณาจนเหมือนไร้ผล แต่มันก็เป็นวิธีเดียวเท่านั้น

ถ้าพวกชาวบ้านพบบางอย่างที่เหมือนคำสั่งที่เขียนในหมู่บ้านนี้ นั้นก็เป็นโชคที่ดีแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันไม่ง่ายอย่างนั้น พวกเธอได้แต่หวังว่าผู้ที่ดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ต้องรู้อะไรบ้าง

ผู้นำทีมคงจะชอบใจ ถ้าพวกเราสามารถเก็บแม้แต่ข้อมูลเล็ก ๆ ขององค์กรนั้นได้

องค์กรมีอำนาจที่เพาะปลูกยาเสพติดได้มีชื่อว่า “แปดนิ้ว” [Eight Fingers ] ตั้งชื่อตามเทพแห่งการขโมยที่มีแปดนิ้ว ผู้อยู่ใต้อาณัติของเทพธรณี เป็นกลุ่มที่ควบคุมโลกใต้ดินของราชอาณาจักร

องค์กรอาชญากรรมได้จัดแบ่งออกเป็น 8 ส่วน ได้แก่ การค้าทาส การลอบสังหาร การค้าของเถื่อน การโจรกรรม การค้ายาเสพติด การรักษาความปลอดภัย การธนาคาร และการพนัน ขอบเขตขององค์กรได้แผ่ขยายไปทั่วทุกกลุ่มอาชญากรรมในราชอาณาจักร และขนาดที่แท้จริงขององค์กรนั้นหมายถึงว่า พวกมันได้แอบซ่อนอยู่อย่างลับ ๆ

ในอีกด้านหนึ่ง เป็นธรรมดาที่จะเห็นว่า พวกมันมีอิทธิพลอยู่ในมือมากขนาดไหนในราชอาณาจักร อย่างหมู่บ้านที่แผ่ขยายทอดยาวออกไปตรงข้างหน้าเธอเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงสิ่งนั้นได้ดี

พวกเขาเพาะปลูกพืชผิดกฏหมายโดยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ขุนนางผู้เป็นเจ้าของที่ดินมาติดร่างแหในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด แต่ว่าการกล่าวหาเขาไม่อาจนำไปสู่การตัดสินโทษได้

มันอาจจะกลายเป็นคนละเรื่อง ถ้าทางราชวงศ์หรือใครสักคนที่มาจากอำนาจตุลาการมาตรวจเรื่องราว แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องยากที่จะไปถึงคำตัดสินว่ามีความผิด เมื่อมันเกี่ยวข้องกับพวกขุนนางศักดินา พวกขุนนางเจ้าของที่ดินแห่งนี้จะอ้างว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องที่พืชพวกนั้นสามารถใช้เป็นส่วนประกอบของยาเสพติด พวกเขาอาจจะแม้แต่กล่าวโทษพวกชาวบ้านว่าตั้งใจทำกันเอง เพื่อที่จะผลักหรือบ่ายเบี่ยงข้อกล่าวหา

การประกาศเลิกต่อสาธารณะไม่ได้ผลและความพยายามที่จะบังคับยับยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติดนั้น ก็เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยทางองค์กรได้ติดสินบนพวกขุนนางที่มีอิทธิพลเหนือช่องทางการจัดจำหน่าย

นั้นเป็นเหตุผลที่ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการใช้ความรุนแรง เผาทุ่งเพาะปลูกเป็นทางเลือกสุดท้าย

ด้วยความสัตย์จริง เธอเชื่อว่าแม้เธอเผายาเสพติดที่นี่ไปก็ตาม มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดรอยแหว่งในการปฏิบัติการของพวกมัน ด้วยนิ้วของพวกมันที่มีอำนาจทางการเมือง นั้นคืออำนาจที่องค์กรนี้มี

“แค่ยื้อเวลาออกไปเท่านั้น….ถ้าพวกเราไม่ทำการโจมตีให้เด็ดขาดในสักวัน ที่ทำอยู่นี้ก็ไร้ประโยชน์”

Part 2
ฝนกำลังตก พร้อมกับส่งเสียงดังก้องภายในหู
ราชอาณาจักรไม่ได้สร้างถนนที่ใส่ใจกับการระบายน้ำเป็นพิเศษนัก โดยเฉพาะตามตรอกซอกซอย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ถนนหนทางทั้งหมดกลายสภาพเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่

ฝนที่ตกลงมาสาดกระจายกระทบผิวของทะเลสาบ สายลมหอบพัดกลิ่นของหยดน้ำและโปรยกระจายกลับขึ้นไปในอากาศ นี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ว่า ทำไมทั้งราชอาณาจักรถึงมีบรรยากาศเหมือนกับจมอยู่ใต้บาดาล

ภายในโลกที่ถูกย้อมเป็นสีเทาจากละอองน้ำ มีเด็กชายอยู่คนหนึ่ง

เด็กชายคนนี้อาศัยอยู่ภายในบ้านร้างหลังหนึ่ง ไม่สิ ไม่อาจเรียกว่าบ้านอย่างที่ควรจะเป็นได้ มีเสาไม้ที่หนาเพียงแขนของผู้ชาย ใช้เศษผ้าทำเป็นหลังคา และมีผนังเพียงด้านเดียวที่เป็นเพียงการใช้เศษผ้าวางพาดไว้ด้านข้างเท่านั้น

ภายในที่อาศัยที่ดูไม่ต่างไปจากการนอนหลับอยู่กลางแจ้ง มีเด็กชายอายุหกปีคนหนึ่ง สภาพเหมือนขยะที่ถูกทิ้งข้างทางอย่างไม่่ใยดี เด็กชายนอนขดตัวกลมนอนอยู่บนผ้าผืนบาง ๆ
ไม้ที่ทำหน้าที่เป็นเสา เศษผ้าที่เป็นทั้งหลังคาและผนัง ช่างดูเหมือนกับฐานลับที่เด็กในวัยนี้สามารถสร้างขึ้นเองได้

ภายในบ้านหลังนี้ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากภายนอก ที่พักพิงแห่งเดียวที่เป็นที่กำบังกายจากสายฝน หยดน้ำที่เย็นฉ่ำจากสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่รู้จบ อาบร่างเด็กชายที่เหน็บหนาวจนทำให้ร่างกายของเขานั้นสั่นสะท้าน ไออุ่นจากลมหายใจของเขา ที่ยังยืนยันถึงการยังมีชีวิตอยู่ถูกกลบด้วยความหนาวเย็นและจางหายไปในอากาศ

เขาตากฝนเปียกปอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่เขาจะเข้าไปหลบฝนอยู่ในบ้านหลังนี้ และนั้นทำให้ตัวเขากำลังสูญเสียความอบอุ่นอย่างรวดเร็ว
ไม่มีหนทางที่จะหยุดร่างกายที่หนาวสั่นนี้ได้

ความหนาวเย็นที่คืบคลานเข้าไปทั่วร่างของเขาได้คอยปลอบประโลมรอยฟกช้ำที่เขาได้รับจากการถูกทำร้าย บางทีนี่อาจเป็นความสุขเล็ก ๆ เพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้รับในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้
เด็กชายนอนตะแคงข้างและจ้องมองไปที่ซอยที่ว่างเปล่า ที่โลกแห่งนี้

เสียงที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงฝนตกและเสียงลมหายใจของตัวเขาเองเท่านั้น เป็นความเงียบสงบที่ทำให้ดูเหมือนว่ามีเพียงตัวเขาอยู่คนเดียวในโลกใบนี้

แม้ว่าตัวเขาจะยังเยาว์ เด็กชายก็รับรู้ได้ว่าบางทีตัวเขากำลังจะตาย

เขาไม่ได้อยู่ในวัยที่สามารถเข้าใจถึงความหมายของความตายได้อย่างแจ่มแจ้ง จึงไม่ได้รู้สึกกลัวมากนัก นอกจากนี้เขายังไม่รู้สึกว่ายังมีอะไรที่มีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เหตุผลข้อเดียวที่เขายึดมั่นในการดิ้นรนมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ก็คือเขาไม่ชอบความเจ็บปวด คล้าย ๆ กับการหลบหนี

แม้จะเป็นเพราะความหนาวเย็นก็ตาม หากเขาได้ตายอย่างไร้ความเจ็บปวดเช่นนี้แล้ว ดังนั้นความตายก็ไม่ได้เลวร้ายนัก

ในขณะที่อาการชากระจายไปทั่วร่างที่เปียกโชก สติของเขาเริ่มเลือนลาง

เขาที่ควรจะพบกับสถานที่ที่ใช้ปกป้องตัวเขาจากคลื่นลมได้ แต่แล้วตัวเขาถูกกลุ่มคนร้ายคว้าตัวไว้ และสถานที่ในตอนนี้เป็นที่ที่ดีที่สุดที่เขาสามารถดูแลร่างกายของเขาที่ถูกทารุณกรรมได้

นี่เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่เขามี นอกนั้นทุก ๆ อย่างถือเป็นความโชคร้าย?

ปากของเขาไม่ได้สัมผัสอาหารมาสองวันแล้ว แต่นั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นไม่ใช่ความโชคร้ายหรอก พ่อและแม่ของเขาได้จากไป ทำให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีใครคอยดูแล แต่นั้นก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ดังนั้นไม่ใช่ความโชคร้ายหรอก กลิ่นเหม็นสาบรอบตัวเขาก็ไม่ใช่ความโชคร้าย นอกนั้นกลิ่นก็มาจากเศษผ้าซึ่งก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ชีวิตที่วนเวียนอยู่กับการเติมเต็มท้องให้อิ่มด้วยอาหารบูดกับน้ำเน่าเสียก็ยังไม่ใช่ความโชคร้าย นั้นเป็นเรื่องที่เขารู้ดี

แล้วบ้านที่ว่างเปล่าที่ที่เขาอยู่อย่างสุขสบายล่ะ บ้านที่เขาเหน็ดเหนื่อยสร้างขึ้นมา แม้คนอื่นจะขบขันและมองเป็นขยะก็ตาม ร่างกายที่ฟกช้ำของเขากำลังเจ็บปวดจากการถูกพวกขี้เมารุมตี พวกขี้เมาพวกนี้เป็นความโชคร้าย?

ไม่ใช่

ความโชคร้ายของเด็กชายนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจมองเห็นได้ว่ามันเป็นอะไร แม้ว่าสิ่งนั้นจบไปแล้วก็ตาม

ความโชคร้ายที่เด็กชายโง่เขลาเกินที่จะรู้ว่าคืออะไรนั้นได้จบลงที่นี่แล้ว

ความตายที่นำมาซึ่งความโชคดีและความโชคร้าย
ใช่แล้ว ความตายเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้
เขาหลับตาลง

สำหรับร่างกายของเขาที่ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นอีกต่อไปแล้ว แม้แต่การที่จะลืมตาก็ยังเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย
เขายังได้ยินเสียงเล็ก ๆ เสียงในท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของเขาเอง ภายในโลกที่มีเพียงเสียงฝนตกกับเสียงการเต้นของหัวใจเท่านั้นที่เขาได้ยิน ก็มีเสียงที่ประหลาดออกไปสอดแทรกเข้ามา

เสียงประหลาดนั้นดูเหมือนจะกลบเสียงของฝนที่ตก ภายในสติที่กำลังเลือนลางนั้น ความใคร่รู้ของเด็กชายได้ผลักดันให้เขารวบรวมกำลังไปที่เปลือกตา

ในภาพที่ถูกสะท้อนมองเห็นผ่านช่องเปลือกตาที่คับแคบ
เด็กชายลืมตากว้าง
ช่างงดงามนัก

ในช่วงเวลานั้น เขาไม่เข้าใจว่าเขากำลังมองอะไรอยู่
“เหมือนกับอัญมณี หรือทองคำ” เป็นความคิดที่อธิบายออกมาได้อย่างเหมาะสม แต่สำหรับบางคนผู้ซึ่งประทังความหิวด้วยอาหารบูดเน่าจากขยะนั้น ไม่อาจคิดคำอธิบายดังกล่าวนั้นออกมาได้
ใช่แล้ว
มีเพียงความคิดหนึ่งที่แล่นเข้ามาในใจของเขา

ดวงอาทิตย์

เป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในโลกของเขา และในขณะเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่อยู่ไกลที่สุดที่เขาจะเอื้อมมือถึง

โลกที่ถูกย้อมเป็นสีเทาจากละอองฝนและเมฆฝนดำทะมึนที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า บางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็นผู้รับผิดชอบ ที่ดวงอาทิตย์ผละออกจากการเดินทาง เพราะไม่มีใครที่นั้นมองเห็นและนำพากลับ แต่กำลังปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา

นั้นเป็นสิ่งที่เขาคิด
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาลูบใบหน้าของเขา และแล้ว--
จนถึง ณ ตอนนี้ เด็กชายที่ไม่ใช่มนุษย์
ไม่มีใครเคยเห็นเขาเป็นมนุษย์
แต่ในวันนั้นเอง เขาก็ได้กลายเป็นมนุษย์



เดือน 9 วันที่ 3 เวลา 4:15

ส่วนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนที่ลึกที่สุดของเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรรี-เอสไทซ์ (Re-Estize Kingdom) คือ ปราสาท โร-เลนเต้ ( Ro-Lente castle) กำแพงของปราสาทล้อมรอบด้วยที่ดินอันกว้างใหญ่ทอดยาวออกไปราว 1,400 เมตร มีหอคอยรูปทรงกระบอกขนาดมหึมาทั้ง 12 แห่ง วางรายรอบเป็นวงปกป้องตัวปราสาท

ในห้องที่ตั้งอยู่ในหอคอยแห่งหนึ่งจากบรรดาทั้งสิบสองหอคอย
ในห้องที่ไร้แสงสว่าง บุคคลผู้หนึ่งนอนทอดกายอยู่บนเตียง เขายังอยู่ในวัยละอ่อน อยู่ในช่วงระหว่างวัยเด็กชายกับวัยผู้ใหญ่
ผมสีบลอนด์ที่ตัดสั้น และผิวสีแทนที่ออกสีแดงฝาด

ไคลม์ (Climb)

ไม่มีนามสกุลต่อท้าย เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับอนุญาตให้ยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ถูกขนานนามว่า “เจ้าหญิงทองคำ” (Golden Princess) ทหารหนุ่มที่เป็นที่อิจฉาของใครหลายคน

เขาตื่นนอนก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นจากขอบฟ้า

ช่วงเวลาที่เขาได้สติกลับมาจากโลกที่มืดมิด จิตใจของเขาก็เฉียบคมขึ้นมาในทันที การทำงานของร่างกายก็ฟื้นคืนจนเกือบสมบูรณ์ การนอนหลับอย่างเต็มที่และตื่นขึ้นมาในทันที เป็นหนึ่งในสิ่งที่ไคลม์มีความภาคภูมิใจ

ดวงตาซันปาคุของเขาเบิกกว้าง เผยให้เห็นจิตใจที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าอยู่ในดวงตาคู่นั้น
(ดวงตาซันปาคุ : sanpaku eyes : ลักษณะดวงตาที่มองเห็นตาขาวระหว่างม่านตากับขอบเปลือกตาล่างหรือระหว่างม่านตากับขอบเปลือกตาบน )

ไคลม์ปัดผ้าห่มหนาที่คลุมกายของเขาออกไปข้าง ๆ แล้วลุกขึ้นยืน แม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อน แต่ผนังหินรอบตัวเขาที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาค่ำคืนมายังคงเย็นอยู่

เขาลูบตาของเขาและพบว่าที่นิ้วมือนั้นเปียก
“...ฝันนั้นอีกแล้ว”
ไคลม์ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเขา

ความทรงจำเมื่อครั้งที่ตัวเขายังเด็ก ฝนที่ตกอย่างหนักเมื่อสองวันก่อน ต้องเป็นเหตุที่ทำให้เขาระลึกถึงมัน

น้ำตาที่ไม่ได้เกิดจากความเศร้าโศก

มีกี่ครั้งในชีวิตของคนคนหนึ่งที่เขาจะพบกับใครสักคนที่ควรค่าแก่การเทิดทูน? บุคคลที่คุณยินดีที่จะทิ้งชีวิตของคุณเองในการเป็นข้ารับใช้ … มีสักกี่ครั้งเชียว?

หญิงสาวที่ไคลม์ได้พบในวันนั้นนั่นแหละคือบุคคลผู้นั้น
นี่คือน้ำตาแห่งความปิติสุข น้ำตาแห่งการขอบคุณต่อปาฏิหาริย์ ที่ถูกสร้างขึ้นจากการพบกันของพวกเขา

ไคลม์ยืนนิ่ง บนใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยมกับพลังในวัยหนุ่มที่เหมาะสมกับวัยของเขา

น้ำเสียงของเขา ที่หยาบกระด้างจากการฝึกฝนเคี่ยวเข็นอย่างหนัก ท่องออกมาเป็นคำ

“แสงสว่าง”

โคมไฟที่แขวนอยู่บนเพดานตอบสนองต่อคำสำคัญนี้ และส่องแสงสว่างเป็นแสงสีขาวอยู่ภายในห้อง สิ่งนี้เป็นไอเท็มเวทย์มนตร์อย่างหนึ่งที่ร่ายเวทย์ “Continual Light ”

แม้เป็นไอเท็มที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เหตุผลที่เขาได้รับไอเท็มราคาแพงดังกล่าวนั้นไม่ใช่เป็นเพราะตำแหน่งพิเศษของเขา

แม้จะเป็นแสงสว่างที่ได้จากการเผาบางสิ่งภายในหอคอยที่สร้างด้วยหิน หากมีลมแย่ ๆ พัดเข้ามา ก็ไม่ปลอดภัยนัก นั้นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเกือบทุกห้องต้องจัดหาแหล่งกำเนิดแสงสว่างจากเวทมนตร์มาใช้ ถึงมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาขั้นต้นก็ตาม

แสงสว่างสาดส่องไปตามพื้นและผนังที่ทำด้วยหิน พรมผืนบาง ๆ ที่วางอยู่ ดูจะไร้ประโยชน์ในคลุมความเย็นบนพื้นผิวแข็ง นอกเหนือจากนั้นก็มีบรรดาของตกแต่งภายในห้อง ได้แก่ เตียงไม้กระจอก ตู้ไม้ขนาดปานกลางที่ใช้ใส่อาวุธกับชุดเกราะได้ โต๊ะเขียนหนังสือพร้อมลิ้นชัก และหมอนอิงบาง ๆ วางอยู่บนเก้าอี้ไม้

จากมุมมองของคนภายนอกคงคิดว่าไม่เห็นมีอะไรที่น่าประทับใจ แต่กับคนอื่นที่มียศระดับเดียวกับไคลม์ มันเป็นการปฏิบัติที่ลำเอียงสุด ๆ

นายทหารไม่มีพื้นที่ส่วนตัว พวกเขาพักอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่มีเตียงสองชั้น นอกเหนือจากเตียงของพวกเขาเองแล้ว อุปกรณ์ตกแต่งห้องเพียงชิ้นเดียวที่นายทหารได้รับคือหีบไม้พร้อมกุญแจล็อกสำหรับใช้เก็บทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา
นอกจากนี้ที่มุมห้องยังมีชุดเกราะเต็มตัวสีขาวตั้งอยู่ ชุดเกราะไร้ซึ่งมลทินมีความเงางามที่ทำให้ดูราวกับว่ามันกำลังฉายแสงออกมา ไม่มีทหารราบคนใดได้รับอุปกรณ์ดังกล่าว

การปฏิบัติที่พิเศษนี้ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ไคลม์ได้รับจากความแข็งแกร่งของตัวเขาเองเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องหมายแห่งความโปรดปรานจากเจ้านายผู้ที่ตัวเขาได้สาบานเอาไว้ด้วยชีวิต และเช่นนี้เอง ที่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เป็นที่อิจฉาของผู้อื่น

เขาเปิดตู้เสื้อผ้าและแต่งตัวไปพรางในขณะที่ตาก็จ้องมองกระจกเงาที่ติดอยู่ด้านใน

เขาเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าของเขาที่เจือไปด้วยกลิ่นของโลหะ จากนั้นก็สวมเสื้อเกราะโซ่ทับที่เหลือของเครื่องแต่งกาย โดยปกติแล้วจากตรงนี้เขาต้องสวมใส่ชุดเกราะเต็มตัว แต่ทว่าเขากลับเลือกใส่เสื้อกั๊กที่มีกระเป๋ามากมายกับปิดท้ายด้วยกางเกงขายาว ในมือของเขามีแท่งไม้ที่ถูกห่อด้วยผ้า

สุดท้าย เขาก็มองตัวเขาเองในกระจกเงา ตรวจดูหาทุกอย่างที่ผิดปกติ และมั่นใจว่าเครื่องแต่งกายของเขานั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยดี

ความผิดพลาดใด ๆ ที่ไคลม์ทำให้เกิดขึ้น จะกลายมาเป็นอาวุธที่ทำร้ายเจ้านายของเขา “เจ้าหญิงทองคำ” เรนเนอร์ (Renner)

นั้นเป็นสาเหตุที่ทำไมเขาถึงต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอด เหตุผลของเขาในการมีชีวิตอยู่จะต้องไม่เป็นต้นเหตุในเรื่องที่เสียหายต่อเธอ เป็นการปฏิญาณด้วยทั้งหมดทั้งมวลที่เขามีต่อเธอ
ไคลม์หลับตาลงตรงหน้ากระจก และนึกถึงใบหน้าเจ้านายของเขา

เจ้าหญิงทองคำ – เรนเนอร์ ธายรี ชาร์เดลอน ไรล์ วายเซลฟ์ (Renner Theiere Chardelon Ryle Vaiself )

เปรียบได้กับเทพธิดา จิตใจที่มีเมตตาและสดใสเหมาะกับสายเลือดแห่งราชวงศ์ของเธอ มีความรอบรู้และปัญญาที่วางแผนทางนโยบายการปกครองมากมายหลายประเภท

คำที่มีความหมายที่ตรงมากที่สุด ผู้สูงศักดิ์ในหมู่ผู้สูงศักดิ์ หญิงสาวผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

การทำให้ทองคำคงความแวววาวสุกใส ต้องไม่มีอะไรมาทำให้เกิดฝ้ามัว ดั่งเช่นอัญมณีที่ไร้ที่ติ
หากใครสักคนเปรียบเธอเป็นดั่งแหวน เรนเนอร์ย่อมเป็นเพชรขนาดใหญ่ที่เจียรไนจนสุกสกาว
แล้วไคลม์ล่ะ? เขาก็เป็นหัวหนามเตยของแหวนที่เพชรเม็ดนั้นฝังลงไป แม้ในตอนนี้ คุณค่าของเธอถูกลดทอนลงเพราะเขาขาดคุณสมบัติที่เหมาะสม แต่เขาจะไม่ยอมให้มันเลวร้ายไปกว่านี้

ไคลม์ไม่อาจหยุดความอบอุ่นที่เติบโตขึ้นในอกของเขาได้ จากความคิดต่อเจ้านายของเขา

แม้ผู้ศรัทธาคนหนึ่งที่ยึดมั่นต่อความศรัทธาของเขาเอง ก็ยากที่จะอธิบายออกมาได้ ไคลม์ก็เป็นอย่างคนผู้นั้น

หลังจากที่จ้องมองตัวเองในกระจกเงาอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไคลม์ ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า เขาจะไม่เป็นอุปสรรคต่อเจ้านายของเขา เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และก้าวเท้าออกไปจากห้องไป

Part 3
เดือน 9 วันที่ 3 เวลา 4:35

สถานที่ที่เขามุ่งหน้าไปคือห้องโถงกว้าง เป็นพื้นที่ทั้งชั้นของหอคอยที่ทำให้โล่งรองรับเป็นพื้นที่การฝึกซ้อม

ปกติแล้ว สถานที่แห่งนี้จะอบอวลไปด้วยไอร้อนที่แผ่ออกมาจากเหล่าทหารที่มาฝึกซ้อม อย่างไรก็ตาม มันกลับถูกทิ้งร้างในช่วงเริ่มต้นของวัน พื้นที่อันว่างเปล่าที่เงียบสงบ ที่ที่เกือบจะได้ยินเสียงของความเงียบ เพราะที่นี่มีหินอยู่ทุกทิศทุกทาง ทำให้เสียงก้าวเท้าของไคลม์ดังก้องกังวาน

ห้องโถงได้รับแสงสว่างจากแสงไฟกึ่งถาวรของไฟเวทมนตร์

ภายในมีชุดเกราะที่ตั้งอยู่บนเสาและหุ่นฟางที่ใช้เป็นเป้าซ้อมยิงธนู ตรงผนังมีชั้นวางอาวุธตั้งเรียงรายอยู่ซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธต่าง ๆ ที่หมดคมแล้ว

โดยปกติ พื้นที่ฝึกซ้อมควรจะตั้งอยู่กลางแจ้ง แต่ว่ามีสาเหตุที่ตัดสินใจให้เอามาไว้ข้างใน

เมืองโร-เลนเต้ (Ro-Lente ) เป็นสถานที่ตั้งของปราสาทวาเลนเซีย ( Valencia castle) การให้เหล่าทหารฝึกซ้อมอยู่กลางแจ้งนั้นหมายถึงพวกเขาอาจถูกบรรดาทูตของต่างประเทศมองเห็น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นให้อยู่ในระดับต่ำ หลาย ๆ พื้นที่ภายในหอคอยถูกเก็บกวาดออกเพื่อใช้เป็นพื้นที่ฝึกซ้อม

การสาธิตการฝึกซ้อมอย่างอาจหาญของทหารผู้แข็งแกร่ง อาจมีประโยชน์ทางการทูต แต่ทางราชอาณาจักรไม่เห็นเป็นอย่างนั้น ยิ่งกว่านั้น มีแนวโน้มที่จะมองเป็นในแง่ความสง่างาม เลิศเลอ และสูงศักดิ์

แต่ที่กล่าวมานั้น ก็ยังมีการฝึกซ้อมที่เป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินการในที่ร่ม พวกเขาจึงเลือกที่จะดำเนินการเป็นบางครั้งอยู่ที่มุมหรือที่สนามข้างนอกตัวปราสาท หรือแม้แต่ที่นอกเมืองหลวง

ไคลม์เข้าไปในห้องโถงที่เงียบเชียบราวกับว่าตัวเขาเดินตัดผ่านอากาศที่เยือกเย็น และเริ่มยืดเส้นยืดสายอย่างช้า ๆ อยู่ที่มุมห้อง

สามสิบนาทีต่อมา หลังจากยืดเส้นยืดสายอย่างเต็มที่ ใบหน้าของไคลม์แดงก่ำ หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจหอบที่เต็มไปด้วยไอร้อน

ไคลม์เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก และเดินไปใกล้ชั้นวางอาวุธ เขาตรวจดูด้ามจับเพื่อให้แน่ใจว่ามันเหมาะเจาะมั่นคงกับมือของเขา ฝ่ามือของเขาที่หยาบและหนาจากแผลมากมายที่เข้ามาและจากไป
ต่อมา เขานำก้อนโลหะมาใส่ในกระเป๋า และติดกระดุมปิดอย่างแน่นหนาเพื่อกันไม่ให้ก้อนโลหะร่วงหล่นออกมา

โลหะหลาย ๆ ชิ้นที่ใส่เข้าไปในเสื้อของเขานั้น ทำให้มันหนักพอ ๆ กับชุดเกราะแบบเต็มตัว โดยทั่วไปชุดเกราะที่ไม่ได้ร่ายเวทมนตร์ใด ๆ ทับไว้มีการป้องกันที่ยอดเยี่ยม แต่ต้องแลกมูลค่าด้วยความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ การนึกถึงการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้นจริงภายในใจ แล้วฝึกฝนไปกับอุปกรณ์ที่สวมใส่ ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้อง

ถึงอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องยากที่จะนำชุดเกราะแบบเต็มตัวออกมาใช้เพียงแค่การฝึกฝน ไม่ต้องพูดถึงชุดเกราะสีขาวที่เขาได้รับมา นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เขาต้องใช้ชิ้นโลหะเป็นทางเลือกอื่นแทน

ไคลม์จับอาวุธเหล็กที่ใหญ่เกินกว่าขนาดของเกรทซอร์ด (greatsword) และถือเอาไว้สูงเหนือศีรษะ เขาค่อย ๆ ผ่อนดาบลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับปล่อยลมหายใจออก แล้วหยุดดาบเอาไว้ก่อนที่มันจะแตะพื้น เขาหายใจเข้าและยกดาบขึ้นไปไว้ที่ตำแหน่งเดิมเหนือศีรษะของเขา เขาจ้องไปที่พื้นที่ว่างตรงหน้าเขาด้วยสายตาที่เฉียบคม และมุ่งมั่นอยู่ในฝึกซ้อมอย่างเต็มที่เมื่อเขาค่อย ๆ เพิ่มความเร็วการแกว่งดาบ

เขาแกว่งดาบผ่านไปแล้วจำนวน 300 ครั้ง

เหงื่อไหลลงมาบนใบหน้าที่แดงก่ำของไคลม์ ลมหายใจนั้นร้อนราวกับว่าเขากำลังขับความร้อนที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเขาออกมา

แม้ว่าไคลม์ได้ผ่านการฝึกฝนในฐานะทหารอย่างหนักหน่วงก็ตาม มันก็เป็นเรื่องยากที่จะรับมือกับน้ำหนักของดาบใหญ่อย่างเกรทซอร์ด การหยุดใบดาบก่อนที่มันจะแตะพื้นนับเป็นการท้าทายที่พิเศษ การจะทำเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จได้ จำเป็นต้องใช้พละกำลังอย่างมาก

นับการแกว่งดาบของเขาได้ถึงครั้งที่ 500 แขนของเขาเริ่มเป็นตะคริว และรู้สึกราวกับว่าพวกมันกำลังกรีดร้องมาด้วยความเจ็บปวด เหงื่อไหลร่วงลงมาจากใบหน้าของเขาเหมือนน้ำตก
ไคลม์รู้ดีว่า นี่เป็นขีดจำกัดของเขา แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

แต่ว่า --

“--คงพอได้แล้วกระมัง”

เมื่อได้ยินเสียงของคนอื่น ไคลม์รีบหันหน้าไปยังทิศทางที่มาของเสียง และสายตาของเขาก็เห็นร่างของชายคนหนึ่ง

การเรียกขานความแข็งแกร่งให้แก่เขานั้น ดูจะเป็นคำพูดที่น้อยไป ชายคนนั้นเป็นเหมือนการแปลงรูปของเหล็ก ริ้วรอยบนใบหน้าที่ทำให้นึกถึงหิน จึงทำให้เขาดูมีอายุกว่าที่เขาเป็น กล้ามเนื้อที่ปูดนูนของเขา ชี้ชัดว่านี่ไม่ใช่คนธรรมดา

ไม่มีนายทหารคนใดในราชอาณาจักรที่ไม่รู้จักเขา

“--ท่านสโตรนอฟ”

หัวหน้ากองทหาร กาเซฟ สโตรนอฟ (Gazef Stronoff ) ผู้ถูกยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักร และไม่มีใครทัดเทียมได้แม้แต่ในประเทศรอบข้าง

“อะไรที่มากไปกว่านี้จะเป็นการฝึกที่มากเกินไป ไม่มีความหมายในการผลักดันตนเองไปข้างหน้า”

ไคลม์ลดดาบของเขาลง และมองไปที่แขนของเขาที่กำลังสั่น

“ท่านพูดถูกแล้ว ผมหักโหมไปหน่อย”

กาเซฟยักไหล่ เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของไคลม์แทนการขอบคุณ

“ถ้าคิดอย่างนั้นจริง ก็อย่าทำให้ฉันต้องพูดซ้ำบ่อย ๆ สิ กี่ครั้งแล้วที่ทำแบบนี้”

“ผมขออภัย”

กาเซฟยักไหล่อีกครั้งในขณะที่ไคลม์ก้มหัวลง

นี่เป็นการสนทนาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วนระหว่างพวกเขา คล้ายกับการทักทายแบบหนึ่ง ปกติแล้วการโต้เถียงกันนี้ควรจบลงและแต่ละคนต่างก็ฝึกซ้อมของตนเองไป แต่วันนี้กลับต่างกันออกไป

“จะว่าอย่างไร ไคลม์ อยากลองประดาบกันไหม”

จากคำพูดของกาเซฟ สีหน้าที่เรียบเฉยของไคลม์เกือบชะงักในทันที

จนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่เคยได้ประดาบกันเลย แม้จะพบกันที่สถานที่แห่งนี้ ไม่มีกฎข้อใดระบุไว้

ไม่เห็นจะได้อะไรเลยหากพวกเขาได้ฝึกซ้อมด้วยกัน ไม่ใช่ มันก็ไม่เชิงว่าจะไม่ได้รับอะไรเลย เพียงแต่มีข้อเสียมากกว่าเมื่อเทียบกับข้อดี

ในช่วงเวลานี้มีการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันระหว่างฝ่ายกษัตริย์กับฝ่ายพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วยสามตระกูลขุนนางจากบรรดาหกตระกูลขุนนางใหญ่ เป็นสถานการณ์ที่อันตรายเพียงพอที่จะมีข่าวลือว่า เหตุผลเดียวที่ทางราชอาณาจักรยังแตกแยกไม่ได้ เพราะยังมีสงครามประจำปีกับฝ่ายจักรวรรดิ

ท่ามกลางการช่วงชิงอำนาจนี้ ถ้าหากบุคคลคนสนิทของกษัตริย์อย่าง กาเซฟ สโตรนอฟ – แม้ความเป็นไปได้จะไม่สูง – เกิดพ่ายแพ้ ก็จะทำให้ฝ่ายขุนนางได้ประโยชน์อย่างมาก

ในทางตรงกันข้าม หากผลลัพธ์ออกมาชี้ชัดถึงการพ่ายแพ้ของไคลม์ ฝ่ายขุนนางจะกระโจนออกมากระซิบกระซาบว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะปกป้องเจ้าหญิงเรนเนอร์ มีอยู่หลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้าหญิงรูปงาม ซึ่งยังไม่ได้สมรสนั้น ไว้วางใจทหารเพียงคนเดียวไว้ในปกครองของเธอ นายทหารที่มีปูมหลังคลุมเคลือไม่น้อย

ทั้งสองคนอยู่ในฐานะที่ไม่อาจแพ้ได้

พวกเขาไม่อาจเผยช่องโหว่ออกมาได้ การเปิดช่องโหว่ออกมานั้น จะถูกใช้ประโยชน์ในการโจมตี ทั้งสองต่างก็มีความคิดเหมือนกันว่าพวกเขาทั้งคู่ต้องรอบคอบและระมัดระวังที่จะไม่ทำร้ายเจ้านายของตนเอง

แล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาจะฉีกกฎที่ไม่ได้ระบุไว้?

ไคลม์มองไปรอบ ๆ ตัวเขา

เพราะที่นี่ไม่มีใครอื่นอีกนอกจากพวกเขา? นั้นไม่อาจคิดได้ ที่นี่เป็นที่ที่วุ่นวายราวกับนรก

มีโอกาสที่จะมีคนเห็นจากระยะไกล หรือแอบซุ่มดูพวกเขาอยู่ก็ได้ แต่ก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลอื่น ๆ ได้อีก

ไม่อาจมองเจตนาของเขาออกได้ ไคลม์หักห้ามอาการฉงนงงงวยไม่ให้แสดงออกมาบนใบหน้าของเขา

ชายที่ยืนอยู่หน้าไคลม์เป็นนักรบที่ได้รับการยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักร รับรู้ได้อย่างเฉียบคมถึงอารมณ์ที่เผยออกมาสั้น ๆ ซึ่งคนทั่วไปไม่ทันสังเกต เขาพูดว่า

“ไม่นานมานี้ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ฉันคิดได้ว่า ตัวฉันนั้นด้อยฝีมือ ฉันจึงอยากฝึกซ้อมกับใครสักคนที่มีความสามารถ”

“ท่านน่ะหรือ”

กาเซฟ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักร มีเรื่องใดเกิดขึ้นกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกยังไม่เพียงพอ?

ไคลม์นึกได้ในทันทีว่าจำนวนนายทหารในหน่วยของกาเซฟนั้นลดลง

ไคลม์ไม่มีสหายใกล้ชิดใด ๆ ดังนั้นเขาจึงได้ยินเรื่องนี้มาจากข่าวลือที่แพร่สะพัดในโรงอาหาร สอดคล้องกับเรื่องราวที่ว่า พวกเขาต้องสูญเสียทหารไปจำนวนหนึ่งหลังจากที่เข้าไปพัวพันในเหตุการณ์หนึ่ง

“ใช่แล้ว ถ้าฉันไม่ได้พบกับแมจิค แคสเตอร์ผู้มีเมตตา หากเขาไม่ให้พวกเรายืมพลังของเขา ฉันคงไม่ได้กลับมายืนอยู่ที่นี่ตอนนี้ --”

ได้ยินอย่างนี้แล้ว ไคลม์รู้สึกว่าหน้ากากเหล็กของเขาได้มลายหายไป ไม่สิ มีใครบ้างที่ไม่แปลกใจ? ก่อนที่เขาจะรู้ตัว ความอยากรู้ของไคลม์ก็ชนะ และตั้งคำถามไปว่า

“แมจิค แคสเตอร์ผู้มีเมตตาท่านนั้นคือใครหรือ”

“...เขาเรียกตัวเขาเองว่า ไอนส์ อูล โกวน์ ( Ainz Ooal Gown) แม้เป็นลางสังหรณ์ แต่ฉันรู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นผู้มีความสามารถที่ทัดเทียมกับเจ้าปีศาจแมจิค แคสเตอร์นั้นของฝ่ายจักรวรรดิ”

เขาไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน

ไคลม์นั้นชื่นชอบเหล่าวีรบุรุษและมีงานอดิเรกคือเก็บรวบรวมเรื่องราววีรกรรมของพวกเขา เขาไม่สนใจว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นเผ่าไหนชนชาติใด และยังเก็บรวบรวมเรื่องราวของนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงจากประเทศใกล้เคียงอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ชื่อที่กาเซฟได้บอกมานั้น ก็ไม่คุ้นเคยสำหรับเขาเลยในตอนนี้

แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นนามแฝง

“ละ- แล้ว-- *กระแอม!”

ไคลม์ยั้งใจไว้ต่อความปรารถนาที่จะถามเขาต่อไป

การพยายามถามเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ส่งผลให้เขาต้องสูญเสียทหารไป…แม้แต่ความไม่มีมารยาทก็ยังมีขอบเขต

“ผมจะจดจำชื่อของเขาไว้ …แต่มันจะดีหรือ ที่เราจะประลองกัน?”

“ไม่ใช่การประลองกัน แค่ประดาบกันธรรมดา นายจะได้อะไรบ้างก็ขึ้นอยู่กับตัวนายเอง ตัวนายที่เป็นนายทหารชั้นเยี่ยมในบรรดาทหารของประเทศ มันควรเป็นประโยชน์กับฉันด้วยซ้ำ”

แม้จะเป็นคำยกย่องที่สูงส่ง แต่สำหรับไคลม์แล้ว มันเป็นเพียงคำที่ว่างเปล่า

ไคลม์นั้นไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ โดยมาตราฐานแล้วยังถือว่าต่ำ ทักษะฝีมือของทหารฝ่ายราชอาณาจักรนั้นดีกว่าของพลเมืองทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้เปรียบเทียบกับ “อัศวิน” เหล่าทหารเกณฑ์ของฝ่ายจักรวรรดิ พวกเขาก็ล้วนอ่อนแอเช่นกัน ไม่มีใครในประเทศข้างเคียงที่มีความแตกต่างกันทางทหารอย่างชัดเจน เหล่านายทหารของกาเซฟนั้นแน่นอนว่าแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับไคลม์แล้วก็ร่วงหล่นลงไปเล็กน้อย หากไคลม์ประเมินตัวของเขาเองอิงกับระดับของนักผจญภัย ที่มีระดับทองแดง เหล็ก เงิน ทองคำ แพลทตินัม มิธริล โอริแคลคัม (โอริฮาลูกอน) และอดาแมนเทียม เขาคงอยู่ที่ระดับทองคำ ไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็มีหลายคนที่เหนือกว่าเขา

บางคนสามารถเป็นแบบนั้นได้ด้วยหรือ? ถูกคิดว่าเป็นประโยชน์กับชายอย่างกาเซฟ ชายคนหนึ่งผู้ซึ่งไร้ข้อกังขาว่าถูกวางอยู่ในระดับอดาแมนเทียม?

ไคลม์สลัดความคิดที่อ่อนแอเช่นนั้นออกไป

ชายผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักรได้เสนอฝึกซ้อมกับเขา ประสบการณ์แบบนี้ไม่มีมาบ่อย ๆ แม้ว่าผลลัพธ์จบลงที่ว่าเขาทำให้กาเซฟผิดหวังก็ตาม ก็ไม่รู้สึกเสียใจ

“ถ้าอย่างนั้น ขอคำชี้แนะด้วย”

กาเซฟเผยรอยยิ้มและพยักหน้าตอบรับความต้องการ

ทั้งสองเข้าไปที่ชั้นวางอาวุธและหยิบดาบที่เหมาะสมกับพวกเขา กาเซฟเลือกบัสตาร์ดซอร์ด ( bastard sword ) ส่วนไคลม์ใช้โล่ขนาดเล็กกับดาบบรอดซอร์ด ( broadsword)

จากนั้นไคลม์ก็เอาชิ้นโลหะออกจากกระเป๋าของเขา การมีชิ้นโลหะพวกนี้ด้วยในการเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเอง ย่อมเป็นการเสียมารยาท ไม่ใช่แค่นั้น เขาต้องทุ่มต่อสู้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเพื่อการฝึกฝนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของเขาเอง คู่ต่อสู้ของเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักร กำแพงที่สูงและหนาต้องตระหนักถึงพละกำลังทั้งหมดของคนคนหนึ่ง

ขณะที่ไคลม์เตรียมการต่าง ๆ เสร็จสิ้น กาเซฟถาม

“แขนเป็นอย่างไรบ้าง ยังปวดอยู่หรือเปล่า”

“ครับ ดีขึ้นแล้ว แม้ยังล้าอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นปัญหาในการจับดาบ”

ไคลม์ขยับข้อมือทั้งสองข้างแสดงให้ดู เมื่อเห็นว่าเขาพูดความจริง กาเซฟพยักหน้าอีกครั้ง

“เข้าใจแล้ว. ...นั้นก็เป็นเรื่องน่าอายอย่างหนึ่ง คนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมบนสนามรบนั้นหาได้ยากยิ่ง ถ้าหากจับดาบแล้วเจ็บปวด นายต้องต่อสู้ในวิธีที่ทดแทนมันได้ นายเคยฝึกซ้อมในสภาพเหล่านี้บ้างไหม”

“อืมม์ ไม่เคยเลย ถ้าอย่างนั้นฉันจะฝึกแกว่งดาบต่อ และ...”

“อา… ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น แต่เนื่องจากนายรับผิดชอบต่อความปลอดภัยขององค์หญิง นายควรเรียนรู้การต่อสู้ในสภาวะที่การถือดาบเป็นข้อห้ามให้ได้ บางครั้งเป็นประสบการณ์ต่อตัวเองด้วยซ้ำในการรับมือกับอาวุธหลากหลายแบบได้เป็นอย่างดี”

“ครับ”

“… ดาบ โล่ หอก ขวาน กริช เกราะมือ ธนู ตะบอง และอาวุธขว้างต่าง ๆ เป็นการฝึกฝนอาวุธเก้าชนิดที่ถือเป็นพื้นฐานของการต่อสู้ด้วยอาวุธ แต่...หากตัวนายนั้นยืดหยุ่นได้น้อยไปทุกอย่างก็จะลำบาก มันเป็นการดีกว่าที่นายลดข้อจำกัดลง โดยการเรียนรู้อาวุธสักสองหรือสามอย่าง อืม ดูเหมือนฉันพูดบางอย่างที่ไม่จำเป็นเสียแล้ว”

“ไม่ใช่เลย ท่านสโตรนอฟ ขอบคุณท่านมาก”

กาเซฟยิ้มที่มุมปาก แล้วตอบกลับพร้อมกับมือของเขาที่โบกไปมา

“ถ้านายพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย เริ่มแรก ลองโจมตีฉันด้วยท่านั้น เร็ว...ใช่แล้ว ฉันจะไม่สามารถโต้กลับนายได้ แต่ฉันสามารถสอนวิธีบางอย่างในการใช้อาวุธทั้งเก้าได้”

“ครับ ขอความกรุณาด้วย”

“เข้ามา แต่ฉันไม่ต้องการที่ทำให้การฝึกนี้เป็นแค่การฝึกซ้อม คิดเสียว่านี่เป็นของจริง”

ไคลม์ลดดาบของเขาลงอย่างช้า ๆ และหันกายด้านซ้ายของเขาที่ถูกบังด้วยโล่ไปทางกาเซฟ สายตาที่เฉียบแหลมและความรู้สึกของเขารับรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อม เช่นเดียวกัน กาเซฟเผยตัวตนที่เตือนเขาว่า นี่เป็นการต่อสู้จริง

ทั้งสองต่างจ้องมองอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ไคลม์ไม่อาจออกท่าแรกได้

แม้ว่าการเอาชิ้นโลหะออกไปแล้วทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น แต่ไคลม์ไม่คิดว่าเขาจะล้มกาเซฟได้ ทั้งพละกำลังและประสบการณ์ กาเซฟเหนือกว่าเขาอย่างขาดลอย

แค่การเข้าระยะประชิดก็จะเจอกับการโจมตีโต้กลับ (counterattack ) ทันที คู่ต่อสู้ของเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ (master) อยู่ในกลุ่มที่เหนือกว่าเขา ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ ถ้าหากนี่เป็นการต่อสู้กันจริง ๆ เขาสามารถล้มกลิ้งหรือตายไปได้ง่าย ๆ ด้วยเหตุนั้นน่ะหรือ?

แล้วเขาจะทำอย่างไรดี?

เขาต้องต่อสู้ด้วยปัจจัยที่กาเซฟไม่มี

ร่างกาย ประสบการณ์ และจิตใจ ไคลม์ด้อยกว่าในทุกด้านที่จำเป็นต้องมีสำหรับนักรบ ความแตกต่างในด้านอุปกรณ์ของพวกเขาล่ะ

กาเซฟใช้ดาบบัสตาร์ดซอร์ด ส่วนอีกด้าน ไคลม์ใช้ บรอดซอร์ดกับโล่ขนาดเล็ก ถ้าหากสิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธเวทมนตร์ มันก็จะมีความแตกต่างกัน แต่ว่าพวกมันถูกใช้สำหรับฝึกซ้อม จึงไม่มีความต่างกันระหว่างอาวุธพวกนี้

กาเซฟมีอาวุธเพียงหนึ่ง ในขณะที่ไคลม์มีถึงสอง ซึ่งโล่นั้นก็สามารถใช้เป็นอาวุธได้อย่างดี นั้นหมายความว่าเขามีวิธีโจมตีที่หลากหลายกว่า แต่ต้องแลกกับการถูกลดทอนลงทางด้านพละกำลัง

ป้องกันการโจมตีครั้งแรกด้วยโล่แล้วฟันด้วยดาบ หรือปัดป้องด้วยดาบแล้วกระแทกด้วยโล่

การตัดสินด้วยการโต้กลับเป็นยุทธวิธีของเขา ไคลม์ตั้งสมาธิไปที่การสังเกตการเคลื่อนไหวของกาเซฟ

หลังจากที่ผ่านไปหลายวินาที กาเซฟก็แสดงรอยยิ้ม

“ไม่เข้ามาหรือ ถ้าอย่างนั้นฉันจะโจมตีเดี๋ยว---นี้”

ท่าทางของเขาสงบนิ่งอย่างแท้จริง กาเซฟตั้งท่าพร้อมแล้ว สะโพกลดลงเล็กน้อย พละกำลังเริ่มก่อตัวในร่างกายของเขาอย่างพรวดพราด ทางไคลม์ก็เช่นกัน เขารวบรวมกำลังไว้ภายในร่างกายของเขา เพื่อที่เขาสามารถป้องกันดาบเอาไว้ได้ ไม่ว่ามันเข้ามาเมื่อใด

กาเซฟเข้าประชิดและเหวี่ยงดาบของเขาลงในขณะที่เล็งไปที่โล่

– เร็ว

ไคลม์ยกเลิกความคิดที่จะยกโล่ไปเบี่ยงการโจมตีที่ฟาดเข้ามา เขาตั้งสมาธิทั้งร่างกายและจิตใจทั้งหมดไปที่การป้องกัน เพียงการป้องกันการโจมตี

ชั่วขณะถัดมา โล่ของเขาก็ถูกอัดด้วยแรงกระแทกอันมหาศาล

ระดับของแรงเพียงพอที่จะทำให้เขาคิดว่าโล่นั้นได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ มันเป็นการโจมตีที่ทรงพลังพอที่ทำให้มือที่ถือโล่อยู่นั้นเป็นอัมพาต การต้านทานต่อแรงกระแทกเช่นนี้ได้ต้องใช้พละกำลังทั่วทั้งร่างกายคนคนนั้น

เบี่ยงเบนมันน่ะหรือ? จะทำได้ยังไงในเวลาอย่างนี้?! แค่อึ้งก็พอที่….

ความคิดซื่อ ๆ ของไคลม์ปล่อยให้เขามีจุดอ่อน เขารู้สึกถึงแรงกระแทกอื่นที่หน้าท้องของเขา

“อั่ก”

ร่างกายของเขาลอยไปข้างหลัง หลังของเขาปะทะกับพื้นหินแข็งและขับอากาศออกจากปอดของเขา สายตาชำเลืองมองไปที่กาเซฟ เป็นธรรมดาที่จะมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ในตอนนี้ เขากำลังลดขาของเขาลงหลังจากที่ส่งลูกเตะที่รุนแรงแก่ไคลม์

“...แม้ว่ามันเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวในมือ มันก็อันตรายที่จะมุ่งเน้นไปที่การใช้ดาบเพียงอย่างเดียว อย่างตอนนี้ที่นายโดนเตะ ฉันเล็งไปที่ท้องนายตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว โดยปกติมันเป็นที่เกราะเบาบางกว่าจุดอื่น หรือฉันอาจจะทำลายเข่าของนายแทน แม้ว่านายจะใส่แผ่นเกราะเหนือช่องท้องก็ตาม หากโชคไม่ดี รองเท้าบูทหุ้มเกราะก็จะช่วยบดขยี้ไปด้วย สังเกตร่างกายทั้งหมดของคู่ต่อสู้ และจับตาดูทุกการเคลื่อนไหว”

“ครับ”

ไคลม์ฝืนทนความเจ็บปวดจากหน้าท้องของเขาแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ

พละกำลังทางกายภาพของกาเซฟ สโตรนอฟ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักรนั้นช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง ถ้าหากเขาได้เตะอย่างเต็มที่ นั้นไม่มีปัญหาที่จะหักกระดูกซี่โครงของเขาผ่านเสื้อเกราะโซ่ได้ และทำให้เขาไม่อาจต่อสู้ได้อีก แต่สาเหตุที่ไม่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะกาเซฟได้ยั้งและใช้แค่เท้าของเขาแตะไว้ที่ท้องของไคลม์ แล้วถีบเขาออกไปด้วยเจตนาที่จะให้เขาล้มไปข้างหลังเท่านั้น

มันเป็นการประลองชี้แนะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขอบคุณ

การตระหนักว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักรได้ประลองกับเขา ไคลม์รู้สึกปลื้มปิติในขณะที่เขาก็ตั้งท่าใหม่อีกครั้ง

เขาต้องระวังที่จะไม่ให้ช่วงเวลานี้จบลงอย่างทันทีทันใด

ไคลม์ยกโล่ของเขาขึ้นอีกครั้งและค่อย ๆ ขยับอย่างช้า ๆ ไปทางกาเซฟ กาเซฟเอาแต่จับจ้องตามที่เขาขยับเข้ามา ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นซ้ำรอยเดิมเท่านั้น ไคลม์คิดหาอุบายใหม่ในขณะที่ค่อย ๆ ขยับเข้าไป

กาเซฟที่หยุดรออยู่นั้น ดูสงบผ่อนคลาย ไม่มีทางที่จะทำให้เขาเอาจริงได้

มันเป็นความยโสโอหังที่เทียบได้กับรู้สึกโกรธ

ขีดจำกัดของไคลม์มองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จะตื่นขึ้นมาในช่วงต้นวันเพื่อฝึกฝนด้านทักษะนักดาบ ความคืบหน้าของเขาก็ช้ากว่าหอยทาก เทียบกับตอนที่เขาเริ่มฝึกฝนครั้งแรก มันยังช้าเกินไป

การก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าเขาจะฝึกฝนร่างกายของเขา เพิ่มความเร็วและน้ำหนักของดาบก็ตาม แต่ทักษะอย่างมาร์เชียล อาร์ท เขายังเอื้อมไม่ถึง

คนอย่างไคลม์ รู้สึกโกรธในความจริงที่ว่า ชายที่เปี่ยมด้วยความสามารถนั้น ไม่ได้ต่อสู้กับเขาอย่างจริงจัง ถือเป็นการหยาบคาย ตัวเขานั้นไม่สามารถทำให้ชายคนหนึ่งใช้พลังเต็มที่ได้ ได้แต่โทษความไร้ความสามารถของตัวเขาเอง

คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ที่บอกว่าไม่ได้ปฏิบัติอย่างการฝึกซ้อม และโจมตีอย่างตั้งใจเป็นการเตือน หมายความว่า “โจมตีด้วยเจตนาที่จะสังหารหรือไม่ให้มีโอกาสได้ยืนขึ้นอีก” คำเตือนที่มาจากชายที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไกลเหนือกว่าเขา
ไคลม์กัดฟัน

เขาเกลียดความอ่อนแอของเขาเอง หากเพียงเขามีความแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เขาก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้น เขาสามารถกลายเป็นอาวุธให้เธอคนนั้น และต่อสู้โดยตรงกับพวกที่ทำให้ราชอาณาจักรแปดเปื้อนและทำอันตรายแก่ประชาชน

แต่ในเป็นจริง ดาบเพียงเล่มเดียวของเธอนั้นช่างอ่อนแอนัก ทำให้เธอต้องระวังตัวในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งคอยเติมความรู้สึกผิดให้แก่ไคลม์

แต่ว่า เขาโยนความคิดดังกล่าวทิ้งไปทันที สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือต้องไม่สูญเสียตัวเองไปในด้านลบ มันเป็นการโยนทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเข้าใส่ชายผู้ที่ยืนอยู่ในโลกของความแข็งแกร่ง เพื่อที่ตัวเขาสามารถเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดใดก็ตาม

ความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่เต็มเปี่ยมอยู่ในใจของเขา

เป็นที่พึ่งพิงแก่องค์หญิง --

โอ้?

กาเซฟถอนหายใจออกมาและเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย

เป็นเพราะใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ผู้ที่เป็นทั้งเด็กชายหรือผู้ใหญ่ได้เปลี่ยนไป ถ้าจะเปรียบเปรยก็คือ จนถึงตอนนี้ เขาเหมือนกับเด็กที่ได้พบกับผู้มีชื่อเสียงและไม่อาจระงับความตื่นเต้นเอาไว้ได้ ความร้อนรนนั้นได้หายไปหลังจากโดนลูกเตะนั้น และถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของนักรบ

กาเซฟเพิ่มระดับความตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย

มากกว่าที่ไคลม์เข้าใจในตัวของเขาเอง กาเซฟมีมุมมองที่สูงกับเกี่ยวกับตัวเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความตั้งใจอย่างเดียวของเขาที่กระหายต่อการไขว่คว้าหาความแข็งแกร่ง ความภักดีของเขาที่ใกล้จะเหมือนความศรัทธาอย่างแรงกล้าในศาสนา และทักษะนักดาบของเขาเอง

เพลงดาบของไคลม์ไม่ใช่สิ่งที่เขาได้รับการสอนมา เขาได้มาโดยการแอบมองดูคนอื่น ๆ ที่อยู่ในระหว่างการฝึกซ้อม มันจึงไม่น่าดูและเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป แต่ว่าก็ไม่เหมือนกับคนที่ฝึกฝนแบบไม่ตั้งใจ แต่ละการเคลื่อนไหวของใบดาบของเขานั้น ผ่านการคิดไตร่ตรองมาอย่างละเอียด และพัฒนาไปสู่การใช้งานจริง แม้จะเริ่มต้นได้ไม่ดี แต่มันก็กลายเป็นดาบที่ใช้สังหารได้

กาเซฟคิดว่ามันเป็นสิ่งที่วิเศษมาก

ในท้ายที่สุด ดาบก็เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ปลิดชีพ ผู้ที่ฝึกฝนแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะไม่สามารถสำแดงอานุภาพของมันออกมาในการต่อสู้จริงได้ มันจะไม่สามารถปกป้องผู้คนที่ต้องได้รับการปกป้อง มันจะไม่สามารถช่วยเหลือผู้คนที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ

แต่ไคลม์นั้นแตกต่างออกไป เขาจะโค่นล้มศัตรูของเขา และปกป้องคนสำคัญสำหรับเขา

อย่างไรก็ตาม ---

“แม้ว่านายได้เตรียมใจอย่างแน่วแน่แล้ว แต่ความแตกต่างของฝีมือกับคู่ต่อสู้ของนายยังห่างชั้นกันอยู่ ตอนนี้นายจะทำอย่างไรต่อ?”

แน่นอนว่า ไคลม์ไม่มีพรสวรรค์ แม้ว่าเขาขยันฝึกมากกว่าคนอื่น ๆ --- ไม่ว่าวิธีการที่ทรหดเพียงใดที่เขาใช้ผลักดันตัวเขาเอง หากไร้ซึ่งพรสวรรค์แล้ว เขาจะไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นความแข็งแกร่ง เขาจะไม่สามารถก้าวไปถึงกาเซฟ หรือ เบรน อังกลาสได้

แม้ว่าไคลม์อยากจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ แต่มันเกิดขึ้นได้เพียงในความฝันและในจินตนาการเท่านั้น

แล้วทำไมเขาถึงให้ไคลม์มาประลองด้วยล่ะ? มันไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือที่จะใช้เวลาของเขากับคนที่มีความสามารถพอ?

คำตอบง่าย ๆ กาเซฟแค่ไม่อาจทนดูไคลม์ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จบกับความพยายามที่ไร้ประโยชน์ของเขา ถ้าหากพรสวรรค์นั้นคือกำแพงที่ตัดสินขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว มันก็มอบความเวทนาให้กับเด็กชายคนหนึ่งที่พุ่งเข้าหากำแพงนั้นอย่างไม่ยั้งคิดและไม่รู้จบ

นั้นเป็นเหตุผลที่เขาประสงค์จะสอนเขาด้วยวิธีที่ต่างออกไป

เขาเชื่อว่าแม้จะมีข้อจำกัดในด้านพรสวรรค์ แต่ไม่มีข้อจำกัดในด้านประสบการณ์

และเพราะความโกรธที่เขารับรู้ได้จากร่างที่น่าสงสาร ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของเขา

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยากที่ชดเชยจากที่อื่น ฉันควรจะขอโทษไคลม์ แต่การเผชิญหน้ากับฉันควรจะเป็นประโยชน์แก่เจ้าหมอนี่เช่นกัน

“-- โจมตีสิ ไคลม์”

สิ้นคำที่เขาพูดกับตัวเอง ก็มีเสียงตะโกนตอบรับกลับมาอย่างแข็งขัน

“ครับ”

ไคลม์ออกวิ่งทันทีที่เขาขานตอบ

กาเซฟที่มีสีหน้าที่จริงจังแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ยกดาบของเขาขึ้นอย่างช้า ๆ ไว้เหนือไหล่ของเขา

มันเป็นท่าสำหรับการโจมตีแนวตั้งเหนือเอว

การสกัดกั้นด้วยโล่จะทำให้เขาถูกจำกัดการเคลื่อนไหวของอย่างสมบูรณ์ และการปัดป้องด้วยดาบจะทำให้เขาปลิวกระเด็นถอยไป มันเป็นการโจมตีที่แปลความได้ว่าการกระทำการป้องกันนั้นไร้ความหมาย การสกัดกั้นเป็นสิ่งที่โง่เขลา แต่ดาบบรอดซอร์ดของไคลม์ก็สั้นกว่าดาบบัสตาร์ดซอร์ดของเขา

ตัวเลือกเพียงอย่างเดียวคือการวิ่งไปข้างหน้า โดยที่รู้อยู่แล้วว่ากาเซฟนั้นกำลังรอที่จะโต้กลับอยู่

มันเหมือนกับการกระโจนเข้าปากเสือ – แต่ความลังเลของเขาเกิดขึ้นอยู่เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น

ไคลม์พุ่งตัวเข้าไปในระยะแนวดาบของกาเซฟ

อย่างที่เขากำลังรอช่วงโอกาสนี้อยู่ ดาบของกาเซฟได้ฟาดลงมาและปะทะกับโล่ของไคลม์ การกระแทกอันน่าเกรงขามที่รุนแรงกว่าครั้งที่แล้วมา ไคลม์เบ้หน้าจากความเจ็บปวดที่ถูกส่งผ่านไปยังแขนของเขา

“น่าสมเพช ผลออกมาเหมือนกับครั้งก่อนเลย”

ด้วยคำดูแคลนที่แฝงด้วยความผิดหวัง เท้าของกาเซฟก็พุ่งไปถึงหน้าท้องของไคลม์ และ --

“ฟอร์เทรส (Fortress!)”

จากเสียงตะโกนของไคลม์ กาเซฟมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

การใช้งานมาร์เชียล อาร์ท “ฟอร์เทรส” (Fortress) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับดาบหรือโล่เท่านั้น มันเป็นไปได้ที่จะใช้กับส่วนใดของร่างกายก็ได้ เหตุผลง่าย ๆ ที่คนทั่ว ๆ ไปใช้งานมันในขณะที่กำลังปัดป้องด้วยอาวุธของพวกเขานั้น เป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่หาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใช้กับสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ อย่างการใช้งานกับชุดเกราะที่รับภาระจากความเสี่ยงในการรับการโจมตีของคู่ต่อสู้โดยไร้การป้องกันใด ๆ อยู่แล้ว การสงวนการใช้สกิลกับการปัดป้องด้วยดาบหรือโล่เป็นสามัญสำนึกทั่วไป

แต่ทว่า ปัญหาก็ถูกแก้ไขได้ ถ้าคนคนนั้นสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวถัดไปของคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ อย่างเช่นที่ไคลม์ได้ทำกับลูกเตะของกาเซฟ

“นายเล็งอย่างนี้อยู่งั้นหรือ”

“ครับ”

พลังของลูกเตะของกาเซฟหายไปราวกับว่ามันถูกดูดกลืนไปโดยบางอย่างที่อ่อนนุ่ม เมื่อไม่สามารถส่งผ่านกำลังไปที่ขาที่เหยียดออกไปของเขาได้ กาเซฟจึงล้มเลิกที่จะลองต่อไปและพยายามถอนเท้าของเขากลับมายืนที่พื้น อาศัยจังหวะที่เขาอยู่ในท่าที่เสียเปรียบ ไคลม์เข้าจู่โจม

“สแลช (Slash)”

มาร์เชียล อาร์ท การฟันอย่างรุนแรง

เพียงอย่างเดียว มีสกิลเพียงอย่างเดียวที่นายสามารถใช้ได้อย่างมั่นใจ

รับรู้ในคำพูดที่เขาได้ยินจากนักรบคนนี้ นี่เป็นการโจมตีที่ไคลม์ผู้ไร้พรสวรรค์ฝึกซ้อมอยู่วันแล้ววันเล่า

ร่างกายของไคลม์ไม่ได้มีกล้ามเนื้อใหญ่โตเป็นมัด ๆ เดิมทีนั้นรูปร่างของเขาก็ไม่ได้มีหุ่นแบบนั้นอยู่แล้ว นอกจากนี้ แม้ว่าเขาจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา เขาก็ไม่สามารถคงความว่องไวของเขาเอาไว้ได้

ด้วยเหตุนี้ ร่างกายของเขาได้ถูกหล่อหลอมอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบกลายเป็นความชำนาญเฉพาะ

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการฟันตรงในแนวดิ่ง การโจมตีความเร็วสูงที่อยู่ติดกับขอบเขตแห่งความไม่สมเหตุสมผล เหมือนกับแสงฟ้าแลบ การฟันที่ดูเหมือนจะเรียกลมพายุ

การโจมตีนี้พุ่งลงมาตรงเหนือหัวของกาเซฟ

ภายในใจของไคลม์ ความคิดที่ว่าการโจมตีติดต่อกันจะส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว มันเป็นเทคนิคที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือจากความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า ชายชื่อกาเซฟจะไม่ตายจากการโจมตีในระดับนี้

พร้อมเสียงคำรามของโลหะ ดาบบัสตาร์ดซอร์ดถูกยกขึ้นมาพบกับดาบบรอดซอร์ดที่ดิ่งลงมา

ทุกสิ่งทุกอย่างจนถึงตอนนี้เป็นไปตามที่คาดเอาไว้

ไคลม์ทุ่มเทแรงกายทั้งหมดของเขาในความพยายามที่จะทำลายสมดุลของกาเซฟ

แต่ถึงอย่างนั้น ร่างกายของกาเซฟก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย

แม้จะอยู่ในสภาพที่เก้ ๆ กัง ๆ ของการยืนด้วยขาข้างเดียวก็ตาม เขาก็รับการโจมตีที่แฝงไปด้วยพละกำลังอย่างเต็มเปี่ยมของไคลม์ได้อย่างง่ายดาย เขาเหมือนกับต้นไม้ยักษ์ที่มีรากหนาทึบฝั่งอยู่ในดิน

การโจมตีที่รุนแรงที่สุดด้วยทุกสิ่งที่เขามี ผสานกับสองสกิลมาร์เชียล อาร์ท และไคลม์ก็ไม่อาจทัดเทียมกับกาเซฟที่ยืนด้วยขาข้างเดียวได้ ทั้ง ๆ ที่ยังประหลาดใจอยู่ ตาของไคลม์ก็เลื่อนมาดูที่หน้าท้องของเขา

ความจริงที่เขาตวัดดาบของเขาลงมาหมายความว่า ระยะของพวกเขาหดสั้นลง นั้นก็คือกาเซฟสามารถเตะเขาที่ท้องเขาได้อีกครั้ง

ลูกเตะได้พุ่งเข้ามาที่ร่างของไคลม์ เร็วพอ ๆกับที่เขากระโจนถอยหลังไป

มีอาการเจ็บตื้อเล็กน้อย ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันในระยะห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวที่แยกพวกเขาไว้

กาเซฟผ่อนคลายทั้งสายตาและริมฝีปาก

แม้ว่าเขาจะยิ้ม มันก็เป็นยิ้มที่ไม่ใช่ไม่พอใจ แต่เป็นความรื่นรมย์ มันทำให้ไคลม์รู้สึกเขินเล็กน้อย สำหรับเขามันดูเหมือนรอยยิ้มที่พ่อมองเห็นการเจริญเติบโตของลูกชาย

“ยอดเยี่ยม ฉันคงต้องเอาจริงสักหน่อยแล้ว”

สีหน้าของกาเซฟเปลี่ยนไป

ไคลม์รู้สึกขนลุกไปทั่วร่างของเขา ในที่สุดผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักรก็เผยตัวออกมาแล้ว

“ฉันพกโพชันติดตัวมาด้วย ดังนั้นไม่ต้องห่วง มันสามารถรักษากระดูกที่หักได้”

“...ขอบคุณครับ”

การพูดที่เคร่งขรึมของกาเซฟบอกเป็นนัยว่าเขาควรเตรียมตัวที่จะกระดูกหักเอาไว้ ทำให้หัวใจของไคลม์เต้นดังกึกก้องอยู่ข้างในอกของเขา แม้เขาเคยได้รับบาดเจ็บ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาชื่นชอบมัน

กาเซฟเข้าประชิดด้วยความเร็วเป็นสองเท่าของความเร็วของไคลม์

ดาบบัสตาร์ดซอร์ดได้กวาดเป็นรูปโค้งต่ำพอที่จะเลียดไปกับพื้นและฟันไปที่ขาของไคลม์ ด้วยความเร็วของมันบวกกับแรงหมุน ไคลม์แทงดาบของเขาลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็วในความพยายามที่จะป้องกันขาของเขาไว้

ดาบทั้งสองฝ่ายปะทะกัน อย่างน้อยนั้นเป็นสิ่งที่ไคลม์เชื่อว่าจะเกิดขึ้น ทันใดนั้น--- ดาบของกาเซฟได้เปลี่ยนวิถีและไต่ขึ้นมาด้านข้างของดาบบรอดซอร์ด

“คุ..!”

ไคลม์เอี้ยวตัวของเขาไปข้างหลังและดาบก็พุ่งผ่านใบหน้าของเขาไป สายลมจากการฟันได้ตัดเส้นผมไม่กี่เส้นของเขาตามที่มันได้ผ่านไป

ความจริงอันน่ากลัวที่ว่ากาเซฟได้ไล่ต้อนเขาให้อยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างนี้ได้ในทันที ไคลม์มองเห็นในสายตาว่าดาบบัสตาร์ดซอร์ดนั่นได้หยุดและย้อนกลับมาอย่างฉับไว

ก่อนที่เขาจะทันได้คิด สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเขาทำให้ไคลม์ดันโล่ขนาดเล็กไปข้างหน้า ดาบบัสตาร์ดซอร์ดปะทะเข้ากับโล่ และเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น

และ ---

“---อั่ก!”

ไคลม์รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในขณะที่ตัวเขาก็ปลิวตามแรงไปด้านข้าง ร่างของเขาชนเข้าพื้นอย่างรุนแรง แรงปะทะทำให้ดาบของเขาหลุดออกจากมือของเขาไป

ดาบบัสตาร์ดซอร์ดที่พุ่งปะทะกับโล่เล็กนั้น ได้เคลื่อนผ่านขึ้นไปด้านบนและส่งแรงฟาดที่รุนแรงไปที่สีข้างของไคลม์

“มันเป็นการต่อเนื่อง ไม่ใช่การโจมตีและการป้องกันธรรมดา นายต้องเคลื่อนไหวเพื่อให้ทุกการกระทำสามารถต่อเนื่องไปยังการโจมตีครั้งถัดไปได้ การป้องกันของนายต้องทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของการจู่โจมครั้งต่อไปด้วย”

กาเซฟพูดกับไคลม์ด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ ในขณะที่ตัวเขาเองก็หยิบดาบของเขาขึ้นมา และพยายามที่จะลุกขึ้นโดยการประคองข้างตัวของเขาไว้

“ฉันข่มกำลังเอาไว้ ดังนั้นมันคงไม่แตกหัก นายคงจะสู้ต่อไปได้ … นายจะว่าอย่างไร?”

กาเซฟที่ดูเหมือนไม่ได้เหนื่อยล้าอะไร กับไคลม์ที่ตึงเครียดและมีความเจ็บปวด

สภาพที่ดูไม่ได้นี้ไม่อาจจะทนการจู่โจมเพียงเล็กน้อยอย่างครั้งล่าสุดได้อีก เขาทำให้กาเซฟเสียเวลาเปล่า แต่ถึงอย่างนั้น ไคลม์ก็อยากจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหน

เขายกดาบขึ้น พยักหน้าให้กาเซฟและตั้งท่าต่อ

“ดีมาก มาต่อกันเถอะ”

“ครับ”

พร้อมกับเสียงตะเบ็งที่แหบ ไคลม์พุ่งตัวเข้าไป

ถูกโจมตี จับทุ่ม และบางครั้งก็ต่อยและเตะ ไคลม์ก็ทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับการหายใจอย่างยากลำบาก ความหนาวเย็นของพื้นรู้สึกพึงพอใจที่ได้ดูดซับความร้อนจากร่างกายของเขาผ่านเสื้อเกราะโซ่

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก...”

เขาไม่มีแม้แต่จะพยายามเช็ดเหงื่อออกไป ไม่สิ เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะทำอย่างนั้นต่างหาก

การอดทนต่อความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงเข้ามา ไคลม์ไม่สามารถต้านทานความเมื่อยล้าที่เพิ่มพูนขึ้นมาทั่วทั้งร่างกายของเขาได้ ตาของเขาปิดลงเล็กน้อย

“ทำได้ดี ฉันพยายามที่จะไม่ทำลายหรือทำให้อะไรแตกหักไป ว่าแต่เป็นไงบ้าง”

“……”

ไคลม์ที่นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้น เขาเลื่อนมือไปแตะส่วนที่ยังคงมอบความเจ็บปวดให้แก่เขา

“ผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร รู้สึกปวดแต่ก็แค่รอยฟกช้ำเท่านั้น”

ความเจ็บปวดที่ฟ้องออกมาเป็นเรื่องเล็กน้อย มันจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการอารักขาองค์หญิง

“อย่างงั้นหรือ… ถ้างั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้โพชันแล้ว”

“ครับ นอกจากนี้ การใช้อย่างไม่ระวัง จะยกเลิกผลของการฝึกฝนกล้ามเนื้อ”

“ถูกต้อง มันควรจะเหลือให้รักษาไปตามธรรมชาติบ้าง แต่เวทมนตร์จะจบลงที่การฟื้นคืนกล้ามเนื้อให้กลับสู่สภาพดั้งเดิมของมัน ฉันนึกได้ว่านายจะไปทำหน้าที่ของนายอย่างเป็นองครักษ์ขององค์หญิงใช่ไหม”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเอาสิ่งนี้ไปด้วย ใช้มันหากมีอะไรเกิดขึ้น”

พร้อมเสียงแก้วกระทบกัน ขวดโพชันก็ตั้งอยู่ตรงหน้าไคลม์

“ขอบคุณครับ”

เขาพยุงตัวเขาขึ้นมาและมองไปยังกาเซฟ ชายที่ซึ่งดาบของเขาเองไม่อาจแตะโดนได้แม้แต่สักครั้งเดียว

ชายที่ไร้รอยขีดข่วนมองกลับไปที่เขาด้วยความสงสัย และพูดว่า

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีครับ ผมแค่คิดว่าท่านช่างสุดยอดจริง ๆ”

การหายใจของเขายังหอบอยู่ แม้จะไม่มีคราบเหงื่อบนหน้าผากของเขาก็ตาม ไคลม์ถอนหายใจ เขาตระหนักแล้วว่านี่เป็นความแตกต่างระหว่างตัวเขา คนที่อยู่กับพื้น กับผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักร แต่ในทางตรงกับข้าม กาเซฟสวมรอยยิ้มที่มุมปาก

“...เข้าใจแล้ว”

“ยังไงหรือ ---”

“--- ถ้านายจะถามฉันว่า ฉันแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร ฉันไม่มีคำตอบให้หรอกนะ มันเป็นพรสวรรค์ธรรมดา ฉันได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้ในระหว่างที่ฉันยังเป็นทหารรับจ้าง ลูกเตะพวกนี้ที่เหล่าขุนนางเรียกว่าต่ำช้า ฉันก็เรียนรู้มันในช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน”

ไม่มีเคล็ดลับอะไรในการได้มาซึ่งความแข็งแกร่ง กาเซฟเผย ความหวังที่ว่าการรับเอาการฝึกฝนแบบเดียวกันไปใช้ เป็นแค่ระดับหนึ่ง ที่ช่วยเขาให้แข็งแกร่งอย่างก้าวกระโดดได้ไม่ยาก

“ไคลม์ นายมีไหวพริบในด้านนั้นซ่อนเร้นอยู่ การต่อยและเตะ ใช้กำปั้นเข้าต่อสู้สิ”

“...อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว ความจริง มันค่อนข้างโชคดีที่นายไม่ได้ถูกฝึกให้เป็นนักดาบหรือทหาร เมื่อคนคนหนึ่งจับดาบ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเน้นไปที่การต่อสู้โดยใช้อาวุธนั้นอย่างเดียว ฉันเชื่อว่านี่มันผิด เปลี่ยนมุมมองของเราในการใช้ดาบจะเห็นว่ามันยังมีวิธีอื่น ๆ ของการโจมตีที่รวมเข้ากับหมัดและขาแล้ว นั้นไม่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการต่อสู้จริงหรือ? นั้นล่ะ… ทางดาบของฉันเหมาะสมมากกับพวกนักผจญภัย”

ใบหน้าของไคลม์ที่ปกติจะไร้อารมณ์ได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม เขาไม่คาดคิดว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักรคนนี้จะยกยอฝีมือของเขาเองเป็นอย่างมาก การเคลื่อนไหวที่แหกคอกของเขากับทักษะฝีมือที่อยู่นอกกรอบ

ฝีมือทางดาบที่พวกขุนนางต่างเย้ยหยันลับหลังเขานั้นถูกยกยอ เขามีความสุขใจเป็นอย่างมาก

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวไปก่อน ฉันไม่อาจไปสายได้ในช่วงเวลามื้อเช้าขององค์ราชา นายก็จะกลับด้วยใช่ไหม?”

“ยังก่อนครับ เห็นว่าจะมีแขกมาในวันนี้”

“มีแขกหรือ พวกขุนนาง สินะ?”

ตามที่กาเซฟคิด มันแปลกที่องค์หญิงจะต้อนรับแขก ไคลม์จึงตอบกลับไป

“ครับ ท่านไอน์ดรา (Aindra) จะเข้ามาครับ”

“ไอน์ดรา? … อ๋อ แต่ว่านายหมายถึงไอน์ดราคนไหนกัน? สีครามใช่ไหม ไม่ใช่สีแดงชาด”

“ใช่ครับ กุหลาบคราม (Blue Rose)”

ใบหน้าของกาเซฟมีความผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

“ใช่แล้ว... มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ามีสหายเข้ามาเยี่ยม...”

กาเซฟต้องคาดเดาว่า เหตุผลที่ไคลม์ไม่ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมรับประทานอาหารเช้าเป็นเพราะมีสหายเข้ามา แต่ความจริง ไคลม์เป็นฝ่ายที่ปฏิเสธข้อเสนอของเธอเอง แม้ว่าเขาอยู่ในฐานะที่ได้รับอนุญาตในเรื่องดังกล่าวได้ การปฏิเสธต่อราชวงศ์ แม้แต่กาเซฟก็ยังต้องขมวดคิ้วคิดหนักต่อเรื่องนี้ นั้นเป็นเหตุผลที่ไคลม์ยังคงนิ่งเงียบกับเรื่องนี้ และทิ้งไว้ให้คนอื่นจินตนาการต่อไป

แม้แต่ตัวไอน์ดราเธอเอง ผู้เป็นที่รู้จักกับไคลม์ผ่านทางเรนเนอร์ ก็ยังร้องขอให้เขาร่วมโต๊ะด้วย เธอไม่มีกิริยาอาการในทางลบเหมือนที่พวกขุนนางคนอื่น ๆ มี แม้ว่าไคลม์จะร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเธอด้วยก็ตาม

นี่เป็นความเคารพของเขาต่อเจ้านายของเขา ผู้ซึ่งมีเพื่อนสตรีอยู่น้อยมาก องค์หญิงที่แทบไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมในวงสนทนาของสุภาพสตรี และไคลม์ก็รู้สึกว่าการที่ไม่มีตัวเขาอยู่ด้วยเป็นการดีที่สุด

“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะในวันนี้ ท่านกาเซฟ”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องใส่ใจ ฉันก็เพลิดเพลินด้วยเหมือนกัน”

“… หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมขอให้ท่านดูแลการฝึกฝนของผมในครั้งต่อไปได้หรือไม่?”

กาเซฟหยุดนิ่งไปชั่วขณะ – ก่อนที่ไคลม์จะขอโทษ เขาก็พูดขึ้นว่า

“ฉันก็เห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร ถ้าหากเรายังทำได้ในตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย”

ไคลม์ไม่เอ่ยปากใด ๆ ออกมา เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงสาเหตุของความลังเลของชายคนนี้ แล้วเขาก็บังคับร่างกายที่ดังอ๊อดแอ๊ดของเขาขึ้นยืนในการแสดงความจริงใจของเขา

“ขอบคุณมากครับ”

กาเซฟโบกมืออย่างช้า ๆ และหันกลับไป

“ฝากนายช่วยเก็บกวาดที่เหลือด้วย มันอาจจะมีปัญหาได้ถ้าฉันพลาดนัดอาหารมื้อนี้ … อ้อ ใช่แล้ว การฟันแนวตั้งนั้นไม่เลวเลย แต่นายควรเก็บการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปไว้ในใจด้วย คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปถ้าคู่ต่อสู้ของนายปัดป้องหรือหลบการโจมตีของนายได้”

“ครับ”

Part 4
เดือน 9 วันที่ 3 เวลา 6:22

หลังจากที่แยกกับกาเซฟ ไคลม์เช็ดเหงื่อด้วยผ้าขนหนูเปียกและมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ที่แตกต่างไปจากห้องโถงใหญ่อย่างสิ้นเชิง

ในห้องที่เขายืนอยู่ตรงนี้กว้างพอ ๆ กับห้องโถงที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้ ในห้องเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังสาละวนอยู่กับการพูดคุย กลิ่นหอมของความอร่อยที่ลอยฟุ้งผสมปนเปอยู่ในบรรยากาศที่อบอุ่น กระตุ้นความหิวของคน

ที่นี่คือโรงอาหาร

ไคลม์เดินผ่านท่ามกลางเสียงที่จอแจและยืนต่อหลังแถว เช่นเดียวกับคนก่อนหน้าเขา เขาหยิบถาดมาหนึ่งใบจากกองถาดที่ซ้อน ๆ กันจนสูง เขาวางจานไม้ ชามซุปไม้ และถ้วยไม้ลงบนถาด

เขาได้รับการเสิร์ฟอาหารอย่างเป็นระเบียบ

มันฝรั่งนึ่งลูกใหญ่ ขนมปังข้าวบาร์เลย์ ซุปสตูว์สีขาวที่มีเนื้อกับผักอยู่เล็กน้อย กระหล่ำปลีดองในน้ำส้มสายชู และไส้กรอกหนึ่งชิ้น ในมุมมองของไคลม์ มันเป็นมื้อที่หรูพอดู

ไคลม์ได้กลิ่นที่หอมหวลมากมายจากอาหารแต่อย่างที่อยู่บนถาดของเขา และรู้สึกว่ามันกระตุ้นเร้ากระเพาะของเขา เขาจึงมองไปรอบ ๆ โรงอาหาร

เหล่าทหารกินอาหารไปพลางส่งเสียงดังตั้งอกตั้งใจพูดคุยในเรื่องไร้สาระ อย่างเรื่องวันหยุดครั้งหน้า เรื่องอาหารในวันนี้ เรื่องครอบครัว และหน้าที่สัพเพเหระของพวกเขา

ไคลม์มองหาที่ว่างพบ และเดินไปทางนั้นผ่านเสียงที่วุ่นวาย

เขานั่งลงบนม้านั่งกว้าง ทหารที่นั่งอยู่ข้างเขาทั้งสองด้านต่างพูดคุยอย่างออกรสกับเพื่อนของเขา พวกเขาชายตามองไคลม์อย่างเมินเฉยอยู่แวบเดียวก่อนที่จะหันไปพูดคุยกันต่อ

มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่พบอยู่ข้าง ๆ ไคลม์

คนภายนอกที่มองเข้ามาคงคิดว่าเป็นบรรยากาศที่แปลก

แม้มีการพูดคุยสนุกสนานอยู่รอบตัว แต่ไม่มีสักคนเดียวที่จะหยุดมาคุยกับไคลม์ แน่นอนว่า โดยปกติผู้คนทั่วไปย่อมไม่คุยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว แต่พวกเขาเป็นเพื่อนทหารผู้ซึ่งบางครั้งก็ต้องไว้วางใจอีกคนหนึ่งด้วยชีวิตของเขา ใช่แล้ว นั้นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดทีเดียว

มันเหมือนกับว่าคนชื่อไคลม์ไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

ตัวของไคลม์เองก็ไม่ได้พยายามที่จะพูดคุยกับคนอื่น ๆ นี่เป็นเหตุผลที่เขาเข้าใจในฐานะของตัวเองได้อย่างชัดเจน

ผู้ที่ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องปราสาทไม่ได้เป็นทหารแท้ ๆ “ทหาร” แห่งราชอาณาจักรอ้างถึงกองกำลังอาสาสมัครติดอาวุธโดยเหล่าขุนนางผู้ครอบครองดินแดน รวมไปถึงคนที่ถูกเกณฑ์เข้ามา โดยที่ค่าจ้างของพวกเขาเหล่านี้ถูกจ่ายโดยเจ้าเมือง และได้รับหน้าที่เป็นทหารยาม ( guard ) ของเมือง สิ่งที่พวกเขาทุกคนมีเหมือนกันคือ พวกเขาถูกตั้งขึ้นมาจากชาวบ้านธรรมดาทั่วไป

แต่ว่าก็มีปัญหามากมายเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใคร ๆ ก็ได้มารับงานปกป้องราชวัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสารที่สำคัญ และยังวางพวกเขาเอาไว้ใกล้ ๆ กับเหล่าราชวงศ์

นั้นเป็นสาเหตุมาจากการแนะนำของขุนนางที่ปรารถนาจะให้ใครบางคนเข้ามาเป็นทหารยามอารักขาอยู่ในราชวัง ถ้าทหารยามคนใดก่อปัญหาขึ้นมา ขุนนางของทหารยามที่ได้รับการแนะนำเข้ามาต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ดังนั้นเฉพาะผู้ที่มีปูมหลังที่ขาวสะอาดและไม่ด่างพร้อยทั้งกายและใจจึงได้รับการแนะนำเข้ามา

แต่ว่า นี่ทำให้เกิดกลุ่มฝ่ายต่าง ๆ ที่ได้ก่อร่างขึ้นมา

ขึ้นอยู่กับว่าขุนนางผู้ให้การสนับสนุนนั้นสังกัดอยู่ฝ่ายไหน ทหารคนนั้นก็จบลงที่ถูกผูกอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน ส่วนทหารที่ปฏิเสธก็จะไม่ได้รับการแนะนำในตั้งแต่แรก มันก็เป็นธรรมที่จะพูดว่า ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้นในกฎข้อนี้

มันอาจดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง แต่บนความขัดแย้ง การเข้าไปพัวพันอยู่ในการแก่งแย่งอำนาจ หมายความว่า ทหารพวกนั้นจะได้รับการฝึกฝนทักษะของพวกเขาอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นยังด้อยกว่าพวกอัศวินของจักรวรรดิอยู่เล็กน้อย แต่เหล่าทหารผู้เฝ้าคุ้มกันราชวังก็ยังคงคุยโอ้อวดฝีมือเป็นอย่างมาก

ความแข็งแกร่งของไคลม์สูงกว่าทหารพวกนี้อยู่หลายระดับ แต่นั้นก็เป็นเหตุผลข้อหนึ่งเช่นกันที่พวกขุนนางต่อต้านเขา พวกเขาไม่ยอมรับความจริงที่ว่าเขานั้นแข็งแกร่งกว่าพวกทหารที่พวกเขาได้แนะนำมาด้วยตนเอง

แน่นอนว่า ยังมีกรณีที่พวกขุนนางผู้สนับสนุนทหารไม่ได้เข้ากับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด อย่างไรก็ตามในการช่วงชิงอำนาจของราชอาณาจักรในปัจจุบันระหว่างฝ่ายราชวงศ์กับฝ่ายขุนนาง มีเพียงขุนนางอยู่คนเดียวที่สามารถไปมาระหว่างทั้งสองฝ่ายเหมือนค้างคาว

และในท่ามกลางทหารเหล่านี้ ยังมีชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เลือกจากการแนะนำของพวกขุนนาง

คน ๆ นั้นคือ ไคลม์

ปกติแล้ว คนที่มีปูมหลังแบบไคลม์จะไม่สามารถเข้ารับใช้อยู่ข้างกายเจ้าหญิงเรนเนอร์ได้ การอารักขาราชวงศ์ หน้าที่ที่สำคัญยิ่งอย่างนั้นไม่ได้เข้ามาถึงบุคคลที่มีศักดิ์ต่ำต้อย มันเป็นความเข้าใจโดยทั่วไปที่ว่าเฉพาะระดับขุนนางเท่านั้นที่สามารถอารักขาราชวงศ์ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็มีข้อยกเว้นในกรณีนี้ อย่างเช่นเหล่านักรบชั้นยอดของราชอาณาจักร รวมถึงทหารที่แข็งแกร่งที่สุด กาเซฟ สโตรนอฟ ถ้าหากเจ้าหญิงเรนเนอร์ปรารถนาอย่างแรงกล้า ก็มีไม่กี่คนที่คัดค้านเธออย่างเปิดเผย ต่อให้สมาชิกของตระกูลราชวงศ์ที่สามารถพูดจาต่อต้านเธอได้ แล้วใครล่ะจะเข้ามาก้าวก่ายได้ ในเมื่อเธอได้รับการอนุมัติเห็นชอบจากราชา

การที่ไคลม์ได้รับพื้นที่ส่วนตัวเขาเองอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลมาจากสถานการณ์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก นายทหารธรรมดาที่ไม่เคยแม้แต่จะฝันถึงห้องส่วนตัวของเขาเองและต้องใช้ชีวิตประจำวันในพื้นที่ที่กว้างขวางกว่า แม้ว่าจะเป็นคำสั่งของเจ้าหญิงเรนเนอร์ ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ไคลม์ได้รับห้องส่วนตัวนั้นคือ เพื่อแยกตัวเขาออกไป ไม่ให้ไปเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่อาจจะทำให้เขามีการดำรงชีวิตอย่างลำบาก

พิจารณาในสถานการณ์ของไคลม์ มันชัดเจนอยู่แล้วว่า เขาสังกัดอยู่ฝ่ายราชวงศ์ แต่นั้นเป็นที่รวมกลุ่มกันของพวกขุนนางผู้ที่ปฏิญาณมอบความภักดีของพวกเขาแก่กษัตริย์ ในมุมมองของพวกเขา ไคลม์ที่มีปูมหลังไม่แน่ชัดนั้นเป็นที่เกะกะนัยน์ตา

ผลที่ตามมา ฝ่ายราชวงศ์มองไคลม์เป็นปัญหาในการสรรหาคนใหม่ แต่ถ้าเหลืออยู่คนเดียว ก็จะทำงานให้ฝ่ายของพวกเขาด้วยการตัดสินใจของตัวเขาเอง ทางฝ่ายขุนนางก็มองเห็นข้อดีที่จะดึงเขาเข้ามาอยู่ฝ่ายของพวกเขา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยอมรับถึงความอันตรายของมัน

แม้ว่าจะเรียกว่าฝ่าย มันไม่ได้หมายความว่าพวกขุนนางหลาย ๆ คนที่ตั้งกลุ่มขึ้นมานั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร ฝ่ายกลุ่ม ๆ หนึ่งก็เป็นที่รวมตัวกันเพื่อก้าวไปให้ถึงเป้าหมายหรือในทางความคิด ถ้าฝ่ายราชวงศ์มีบุคคลที่ไม่ต้อนรับไคลม์ – คนสามัญที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเจ้าหญิงผู้เลอโฉมที่ถูกขนานนามว่า ทองคำ – แล้วมันก็ไว้วางใจที่จะพูดได้ว่า ฝ่ายขุนนางก็มีใครสักคนที่ต้องการดึงตัวเขาให้ไปอยู่ข้างพวกเขาด้วย

อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ ยังไม่มีใครในแต่ละฝ่ายที่โง่พอที่จะทาบทามไคลม์ และทำให้ฝ่ายของตนแตกคอกัน

ผลที่ได้ก็คือทั้งสองฝ่ายต่างมีข้อสรุปว่า พวกเขาแต่ละคนไม่อยากส่งไคลม์ให้กับฝ่ายตรงข้าม กลับกัน ก็ไม่อยากให้เขาเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกันด้วย

นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่พูดคุยกับใครและกินอาหารอยู่คนเดียว

เพียงแค่ใช้ช้อนตักอาหารโดยไม่พูดกับใคร อย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลากับอาหารเช้าไม่เกินสิบนาทีก็เสร็จ

“ฉันควรไปได้แล้ว”

นิสัยที่บางทีอาจเกิดจากการที่อยู่คนเดียวอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ไคลม์พูดพึมพำกับตัวเองในความพึงพอใจ ในขณะที่เขากำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทหารที่เดินผ่านมาได้ชนเข้ากับเขา

ข้อศอกของทหารได้แตะโดนแผลที่ได้จากการฝึกซ้อมกับกาเซฟ ทำให้ไคลม์มีสีหน้าเรียบเฉย หยุดยืนนิ่ง

ทหารคนนั้นยังเดินต่อไปโดยไร้คำพูด ไม่จำเป็นต้องบอก พวกทหารที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน มีไม่กี่คนที่เห็นเหตุการณ์แล้วทำหน้าบึ้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลังจากถอนหายใจยาว ไคลม์เก็บจานเปล่าและเดินออกมา

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกวัน เขารู้สึกว่ายังโชคดีที่มันไม่เกิดขึ้นในตอนที่เขามีชามซุปสตูว์ร้อน ๆ

การยื่นเท้าออกมาขวางทางเดินเขา หรือการเข้าชนเขาอย่างตั้งใจ โดยแกล้งว่ามันเป็นอุบัติเหตุ พฤติกรรมเหล่านั้นมันค่อนข้างเลวทราม แต่อย่างไรก็ตาม ---

---มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย

ไคลม์เดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็น คนพวกนี้ไม่อาจทำอะไรเลวร้ายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาอยู่ในสถานที่ที่มีสายตาอยู่มากมายอย่างที่โรงอาหารนี้

ไคลม์ยืดอกของเขา ดวงตาจ้องมองไปข้างหน้า เขาไม่มองลงต่ำลงไปอย่างแน่นอน

ถ้าเขาแสดงท่าทีที่ไม่น่าดู มันจะเป็นการดูหมิ่นต่อเจ้านายของเขา เจ้าหญิงเรนเนอร์ และอาจเสี่ยงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของผู้หญิงผู้ที่เขาให้คำปฏิญาณมอบความภักดีอย่างใจจริงของเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น