Chapter 2 Blue Roses
(ส่วนอันนี้แปลโดย Google translate)
Part 1
เดือน9 , วันที่ 3 08.02
ด้วยชุดเกราะสีขาวและดาบที่แนบข้างลำตัว. ไคลม์ใส่อุปกรณ์เต็มรูปแบบก้าวเข้าสู่พระราชวังวาเลนเซีย
พระราชวังวาเลนเซียถูกแบ่งออกเป็นแบ่งเป็นสามส่วน ไคลม์ได้เข้ามาในหนึ่งในนั้น ซึ่งเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดในทั้งสาม
ส่วนและ ยังเป็นที่ ที่พระราชวงศ์อาศัยอยู่
พระราชวังแตกต่างจากภายนอกมาก ตัวพระราชวังเก็บแสงจากภายนอก และสะท้อนเข้ามาทำให้มีแสงสว่างที่มากจน
ดูมีความเปล่งประกายภายในพระราชวัง
โถงทางเข้ามีความเรียบร้อยดูมันเงา ในความเป็นจริงเรียกได้ว่า ไม่มีแม้แต่ฝุ่นหรือมลทินให้เห็นเลย ขณะที่ไคลม์เดิน
โถงทางเข้ามีความเรียบร้อยดูมันเงา ในความเป็นจริงเรียกได้ว่า ไม่มีแม้แต่ฝุ่นหรือมลทินให้เห็นเลย ขณะที่ไคลม์เดิน
ชุดเกราะเต็มรูปแบบของเขาก็ไม่ทำให้เกิดเสียงใดๆรบกวน เพราะมันทำมาจากแร่อย่างmithrilและorichalcum
และมันยังเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์อีกด้วย
ในทางเดินที่สะอาดสะอ้านและกว้างขวางได้มีทหารขั้นสูงที่ได้รับมอบหมายดูแลความปลอดภัยในพระราชวัง
ในทางเดินที่สะอาดสะอ้านและกว้างขวางได้มีทหารขั้นสูงที่ได้รับมอบหมายดูแลความปลอดภัยในพระราชวัง
พวกเขายืนอยู่ในชุดเต็มรูปแบบ หรือก็คือพวกอัศวิน
อัศวินแห่งจักรวรรดิ์ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกและฝึกฝนจนเป็นทหารมืออาชีพ ในอีกทางหนึ่งอัศวินส่วนใหญ่มักมา
อัศวินแห่งจักรวรรดิ์ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกและฝึกฝนจนเป็นทหารมืออาชีพ ในอีกทางหนึ่งอัศวินส่วนใหญ่มักมา
จากลูกคนที่สามของเหล่าขุนนางเพราะไม่สามารถสืบทอดมรดกของครอบครัวได้ อย่างไรก็ตามทางพระราชวัง
ได้ให้ค่าจ้างสำหรับอัศวินเป็นจำนวนมากดังนั้นจึงทำให้มีเพียงนักดาบที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะได้รับการยอม
รับเป็นสมาชิก
คำอธิบายที่ดีที่สุดของพวกเขาคือ "ทหารรักษาการณ์พระมหากษัตริย์"
โดยตำแหน่งของกาเซฟคือหัวหน้านักรบ เพราะชาติกำเนิดของกาเซฟจึงมีการคัดค้านที่จะให้เป็นอัศวิน
โดยตำแหน่งของกาเซฟคือหัวหน้านักรบ เพราะชาติกำเนิดของกาเซฟจึงมีการคัดค้านที่จะให้เป็นอัศวิน
ดังนั้นกษัตริย์จึงแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ให้กับเขา (warriors) ตั้งแต่นั้นมากลุ่มของทหารหัวกะทิที่กาเซฟได้เลือก
และฝึกฝนเป็นการส่วนตัวก็กลายเป็นที่รู้จักในชื่อwarriors (ในengแบ่งเป็น soldiers/warriors/knights)
ไคลม์ก้มหัวเล็กน้อยให้กับพวกเขา อัศวินส่วนใหญ่แสดงท่าทางตอบกลับตามปกติ แต่ก็มีอีกส่วนน้อยทีี่ทำแบบ
ไคลม์ก้มหัวเล็กน้อยให้กับพวกเขา อัศวินส่วนใหญ่แสดงท่าทางตอบกลับตามปกติ แต่ก็มีอีกส่วนน้อยทีี่ทำแบบ
ไม่ค่อยเต็มใจอัศวินส่วนใหญ่มีความจริงใจที่จะแสดงมารยาทของพวกเขา ถึงแม้พวกเขาจะเป็นขุนนางแต่พวก
เขาก็เป็นทหารที่สาบานรับใช้พระมหากษัตริย์ ดังนั้นนักรบที่อุทิศตนรับใช้พระมหากษัตริย์ของพวกเขา ก็ย่อมสม
ควรได้รับการเคารพเช่นเดียวกัน
ในทางตรงกันข้ามไคลม์ได้ผ่านกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งในทางเดิน พวกเขามองไคลม์เป็นศัตรูแบบเปิดเผย
คนเหล่านั้นคือ เมด เกือบทั้งหมดทันทีที่เห็นไคลม์คิ้วก็ขมวดแบบไม่สบอารมณ์ทันที
เมดที่นี้แต่งต่างจากเมดทั่วๆไป เมดราชวังมาที่นี้เพื่อยกฐานะและจุดยืนของตัวเอง ดังนั้นบางคนจึงมีสถานะ
เมดที่นี้แต่งต่างจากเมดทั่วๆไป เมดราชวังมาที่นี้เพื่อยกฐานะและจุดยืนของตัวเอง ดังนั้นบางคนจึงมีสถานะ
สูงกว่าไคลม์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมดที่มาจากทายาทของเหล่าขุนนาง พวกเขาโกรธอย่างชัดเจนที่ต้องคอยก้มหัวและ
ทำหน้าที่อยู่ใต้ชาวชนบทคนหนึ่ง
มันเป็นความจริงที่ไคลม์มีฐานะต่ำต้อยกว่าพวกเขาจึงไม่แปลกที่มีคนมองเขาอย่างน่ารังเกียจเวลาที่เรนเนอร์
ไม่อยู่ด้วยแน่นอนไคลม์เข้าใจเรื่องนี้และไม่เคยโกรธพวกเขาเลย
แต่กลายเป็นว่าการที่ไคลม์แสดงออกอย่างนิ่งเฉยทำให้สาวใช้ทั้งหลายคิดว่ากำลังโดนดูถูกเลยทำให้โกรธ
เข้าไปอีกแต่ไคลม์ก็คอยระวังอย่างสุดความสามารถที่จะแก้ไขข้อบกพร่องที่เขาทำพลาดไป
อย่างไรก็ตามไคลม์รู้สึกเหนื่อยล้าจิตใจเวลาเดินผ่านพระราชวังนี้เสมอ
!?มีราชวงศ์คนอื่นนอกจากเรนเนอร์กับแรนพอซซาอยู่ด้วยนี่
ทันทีที่ไคลม์มองเห็น ไคลม์ก็เดินเอาหลังเข้าชิดกำแพงและเอามือไว้ที่หน้าอกเพื่อแสดงความเคารพทันที
คนสองคนเดินเข้ามาหาไคลม์ คนด้านหลังเป็นชายผอมสูง ผมสีบลอนที่ดูเป็นเงาวาว
!?มีราชวงศ์คนอื่นนอกจากเรนเนอร์กับแรนพอซซาอยู่ด้วยนี่
ทันทีที่ไคลม์มองเห็น ไคลม์ก็เดินเอาหลังเข้าชิดกำแพงและเอามือไว้ที่หน้าอกเพื่อแสดงความเคารพทันที
คนสองคนเดินเข้ามาหาไคลม์ คนด้านหลังเป็นชายผอมสูง ผมสีบลอนที่ดูเป็นเงาวาว
เขาคือ มาควิซ เรย์เวน เป็นหนึ่งในหกของขุนนางชั้นสูงในราชอาณาจักร
แต่ปัญหาคือชายตัวอ้วนๆที่อยู่ด้านหน้า ชื่อของเขาคือ ซาแนค วาเรียล อิกานา ไรเออร์ ไวเซลฟ์ เขาเป็นลูกชาย
แต่ปัญหาคือชายตัวอ้วนๆที่อยู่ด้านหน้า ชื่อของเขาคือ ซาแนค วาเรียล อิกานา ไรเออร์ ไวเซลฟ์ เขาเป็นลูกชาย
คนรองของกษัตริย์หรือก็คือผู้มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์ของอาณาจักร
ซาแนคหยุดอยู่ที่หน้าไคลม์และมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยไขมันอย่างหงุดหงิด
"นี้มันไคลม์ไม่ใช่หรอ จะไปหาไอ้ตัวประหลาดนั้นรึไง"
มีเพียงเจ้าชาย ซาแนค ที่เรียกเรนเนอร์ว่าตัวประหลาด ไคลม์รู้ว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องขำขันสำหรับชนชั้นสูง
"นี้มันไคลม์ไม่ใช่หรอ จะไปหาไอ้ตัวประหลาดนั้นรึไง"
มีเพียงเจ้าชาย ซาแนค ที่เรียกเรนเนอร์ว่าตัวประหลาด ไคลม์รู้ว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องขำขันสำหรับชนชั้นสูง
แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยผ่านไปเฉยๆแน่
"ฝ่าบาทขออภัยสำหรับความโอหังของข้าแต่องค์หญิงเรนเนอร์ ไม่ใช่ตัวประหลาดแต่อย่างใดเธอเป็นคนที่อ่อนโยน
"ฝ่าบาทขออภัยสำหรับความโอหังของข้าแต่องค์หญิงเรนเนอร์ ไม่ใช่ตัวประหลาดแต่อย่างใดเธอเป็นคนที่อ่อนโยน
และมีเมตตาสมควรเป็นดั่งสมบัติของราชอาณาจักร"
เธอเป็นคนที่แก้ไขปัญหาทาสและเป็นคนแรกที่เสนอกฎหมาย นโยบายช่วยเหลือประชาชน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่มัน
เธอเป็นคนที่แก้ไขปัญหาทาสและเป็นคนแรกที่เสนอกฎหมาย นโยบายช่วยเหลือประชาชน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่มัน
จะถูกปฎิเสธโดยเหล่าขุนนางที่เสียผลประโยชน์ แต่ไคลม์ก็รู้ว่าเธอคิดยังไงกับประชาชน
เธอร้องไห้เสมอเมื้อ นโยบายของตนถูกปฎิเสธ ไม่ถูกต้องเลยที่คนไร้ค่าอย่าง ซาแนค วิพากษ์วิจารณ์เธอ
ไคลม์รู้สึกไม่พอใจจนอยากจะชกหน้าคนอย่างซาแนคสักหมัด
เธอร้องไห้เสมอเมื้อ นโยบายของตนถูกปฎิเสธ ไม่ถูกต้องเลยที่คนไร้ค่าอย่าง ซาแนค วิพากษ์วิจารณ์เธอ
ไคลม์รู้สึกไม่พอใจจนอยากจะชกหน้าคนอย่างซาแนคสักหมัด
ถึงแม้พวกเขาจะเกี่ยวข้องทางสายเลือดเพียงครึ่งเดียว แต่พวกเขาก็ยังเป็นพี่น้องกันและซาแนคก็ไม่ควรพูดแบบนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามไคลม์ก็ไม่ปล่อยให้ความโกรธของเขาเกิดขึ้นได้
เรนเนอร์เคยบอกไว้ว่า "พี่ชายของฉันต้องการกระตุ้นให้คุณสบประมาทเขา เขาต้องพยายามหาข้ออ้างเพื่อเอาคุณ
อย่างไรก็ตามไคลม์ก็ไม่ปล่อยให้ความโกรธของเขาเกิดขึ้นได้
เรนเนอร์เคยบอกไว้ว่า "พี่ชายของฉันต้องการกระตุ้นให้คุณสบประมาทเขา เขาต้องพยายามหาข้ออ้างเพื่อเอาคุณ
ออกห่างฉันแน่นอน ไคล์มเธอต้องไม่แสดงความอ่อนแอใดๆให้พี่ชายฉันเห็นนะ"
"ฉันไม่เคยบอกว่า เรนเนอร์เป็นตัวประหลาดสะหน่อย นั้นแกคิดไปเองต่างหาก....ช่างเรื่องนั้นเถอะ
พอแล้วสำหรับข้อแก้ตัวที่หยาบคาย แกยังคงคิดจริงๆหรอว่าเธอเป็นดั่งสมบัติ ตอนที่เธอทำข้อเสนอขึ้นมา
"ฉันไม่เคยบอกว่า เรนเนอร์เป็นตัวประหลาดสะหน่อย นั้นแกคิดไปเองต่างหาก....ช่างเรื่องนั้นเถอะ
พอแล้วสำหรับข้อแก้ตัวที่หยาบคาย แกยังคงคิดจริงๆหรอว่าเธอเป็นดั่งสมบัติ ตอนที่เธอทำข้อเสนอขึ้นมา
เธอคิดจริงๆหรอว่าพวกเขาจะยอมรับมัน? เรื่องนี้ฉันช่วยไม่ได้หรอก แต่คิดดูสิเธอต้องเสนอโดยที่รู้ว่ายังไงมันก็โดน
ปฎิเสธอยู่แล้ว"
จะเป็นไปได้ไง ผู้ชายคนนี้เดาด้วยความความอิจฉาล้วนๆ
"ขอรับ แต่ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้"
"ฮุฮุฮุฮุฮุ ยังคงไม่ยอมรับว่ายัยนั้นแปลกอีกหรอ
"ขอรับ แต่ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้"
"ฮุฮุฮุฮุฮุ ยังคงไม่ยอมรับว่ายัยนั้นแปลกอีกหรอ
ฮาๆโอเคร ฉันไม่รู้ว่าแกมีรสนิยมแย่ขนาดนี้
งั้นตอนที่ยัยนั้นแกล้งทำ
เป็นคนดีขนาดนี้...ฉันขอแนะนำให้แกสงสัยเธอ
บ้างละกัน"
"จะให้ข้ากล้าที่จะสงสัยเธอได้ไงกันท่าน
"จะให้ข้ากล้าที่จะสงสัยเธอได้ไงกันท่าน
เรนเนอร์คือสมบัติของราชอาณาจักร
อย่างไม่ต้องสงสัยเลย."
"จริงหรอเนี่ย, แล้ว? นี้มันน่าสนใจจริงๆ งั้นช่วยฝาก
"จริงหรอเนี่ย, แล้ว? นี้มันน่าสนใจจริงๆ งั้นช่วยฝาก
ข้อความไปหาตัวหลาดนั้นหน่อยได้ไหม บอกเธอว่า
ขณะที่
ฉันพี่ชายของเธอกำลังคิดว่าจะเอาเธอไปเป็นเครื่อง
มือทางการเมืองยังไงดี ถ้าเธอเสนอตัวที่จะช่วยบาง
ทีฉันอาจจะ
แบ่งมรดกบริจาคที่ดินสักเล็กน้อยให้บ้างได้นะ"
ความขุ่นมัวเกิดขึ้นในใจไคลม์ทันที
"ฝ่าบาทแค่ล้อเล่นสินะครับ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอก
กระหม่อมแบบนี้ ดังนั้นเดียวผมจะทำว่าไม่เคยได้ยิน
ละกันครับ"
"ฮุฮุฮุ อะไรจะหน้าอดสู ขนาดนี้ ไปกันเถอะ มาควิซ เรย์เวน"
ชายคนนี้พยักหน้าเงียบๆหนังจากที่เฝ้ามองดูอยู่ข้างๆ
ไคลม์ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับ มาควิซ เรย์เวน เขาไม่
"ฮุฮุฮุ อะไรจะหน้าอดสู ขนาดนี้ ไปกันเถอะ มาควิซ เรย์เวน"
ชายคนนี้พยักหน้าเงียบๆหนังจากที่เฝ้ามองดูอยู่ข้างๆ
ไคลม์ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับ มาควิซ เรย์เวน เขาไม่
เคยมองมาที่ไคลม์แบบขุนนางอื่นๆ เรนเนอร์ก็ไม่เคย
พูดถึงเขาเหมือนกัน
"อ่าใช่ มาควิซ ก็มองว่ายัยนั้นเป็นตัวประหลาดเหมือน
กันนะอาจจะมากกว่านั้นด้วย พวกเรามองแบบเดียวกัน"
"-ฝ่าบาท"
"ให้ฉันพูดแทนเถอะมาควิซ ฟังคำฉันนะไคลม์
"-ฝ่าบาท"
"ให้ฉันพูดแทนเถอะมาควิซ ฟังคำฉันนะไคลม์
ถ้าแกจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ยัยนั้น อย่างคนตาบอด
ฉันก็คงไม่มาบอกแกหรอก แต่ฉันรู้สึกว่าแกถูกหลอก
ฉันก็คงไม่มาบอกแกหรอก แต่ฉันรู้สึกว่าแกถูกหลอก
ใช้โดยตัวประหลาดนั้น นี้เป็นผลที่ฉันบอกแกตรงๆเกี่ยว
กับความผิดปกตินั้น"
"ฝ่าบาท ขออภัยที่ต้องเสียมารยาทแต่บอกกระหม่อม
ได้รึป่าว ทำไมเรนเนอร์ถึงเป็นดั่งตัวประหลาด
ไม่มีใครรักประเทศและประชาชน ได้มากกว่าเธออีกแล้ว"
"นั้นก็เพราะทุกสิ่งที่เธอทำมันไร้ค่า เธอพยายามมากเกิน
ไม่มีใครรักประเทศและประชาชน ได้มากกว่าเธออีกแล้ว"
"นั้นก็เพราะทุกสิ่งที่เธอทำมันไร้ค่า เธอพยายามมากเกิน
ไปสำหรับผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า
ทีแรกก็แค่คิดว่า เธออาจจะเป็นพวกเจรจาไม่เก่ง
ทีแรกก็แค่คิดว่า เธออาจจะเป็นพวกเจรจาไม่เก่ง
แต่เปล่าเลยขณะที่เราคุยเรื่องนี้กับมาควิซก็ตระหนัก
ได้ว่าเธอรู้ผลลัพธ์ทั้งหมดดีแล้ว ว่ามันจะออกมาเป็น
เช่นไร ยิ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอก็อาจจะกลายเป็น
ผู้หญิงที่ขณะอยู่แต่ในพระราชวัง ก็ยังสามารถจัดการ
ขุนนางได้ตามต้องการ ทั้งหมดนี้มันคืออะไรเล่า
ถ้าไม่ใช่ตัวประหลาด"
"แน่นอนฝ่าบาทต้องเข้าใจผิด
"แน่นอนฝ่าบาทต้องเข้าใจผิด
องหญิงเรนเนอร์ไม่ใช่คนแบบนั้น"
ไคลม์คัดค้าน
อย่างไรก็ตามคำพูดของไคลม์ไม่ได้ช่วยให้เปลี่ยน
อย่างไรก็ตามคำพูดของไคลม์ไม่ได้ช่วยให้เปลี่ยน
ใจเจ้าชายได้ เจ้าชายยิ้มแห้งๆและเดินจากไป
มาควิซก็เช่นกัน
ไคลม์พึมพำกับตัวเองในทางเดินที่ตอนนี้ไม่ใครอยู่แล้ว
"เรนเนอร์เป็นคนที่มีเมตตาที่สุดในประเทศแล้ว
ไคลม์พึมพำกับตัวเองในทางเดินที่ตอนนี้ไม่ใครอยู่แล้ว
"เรนเนอร์เป็นคนที่มีเมตตาที่สุดในประเทศแล้ว
การที่ยังฉันอยู่พิสูจน์ได้ ถ้า-"
ไคลม์กลืนคำพูดต่อไปของเขาและพูดในหัว
ใจของเขาแทน
ถ้าเรนเนอร์ได้ปกครองแผ่นดินมันจะกลายเป็น
ถ้าเรนเนอร์ได้ปกครองแผ่นดินมันจะกลายเป็น
ประเทศที่ยิงใหญ่ ที่ให้ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ
แน่นอนมันเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้ ความจริงเป็นจริง
แน่นอนมันเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้ ความจริงเป็นจริง
เรนเนอร์ไม่สิทธิ์สืบทอดบัลลังก์ แต่ไคลม์ก็ไม่อาจปฎิเสธ
ความคิดนี้ได้
เดือน9 , วันที่ 3 08.11
ไม่นานหลังจากนั้น ไคลม์ก็มาถึงห้องที่เขามาเยือนบ่อย
เดือน9 , วันที่ 3 08.11
ไม่นานหลังจากนั้น ไคลม์ก็มาถึงห้องที่เขามาเยือนบ่อย
ที่สุดในพระราชวัง
หลังจากเช็คว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เขาก็เอื้อมมือไปเปิด
หลังจากเช็คว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เขาก็เอื้อมมือไปเปิด
ประตู
การเข้าไปโดยไม่มีการเคาะเป็นการประทำที่เสียมาร
การเข้าไปโดยไม่มีการเคาะเป็นการประทำที่เสียมาร
ยาทมาก อย่างไรก็ตามเจ้าของห้องนี้เป็นคนขอให้ทำ
เช่นนี้เองนายหญิงของเขาปฎิเสธที่จะฟังการคัดค้าน
ของเขาไม่ว่าเขาจะพยายามพูดอย่างไรก็ตาม
ในสุดท้ายไคลม์ก็ยอมจำนน ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะ
ผู้หญิงที่กำลังหลั่งน้ำตาได้ แต่ไคลม์ก็ยังไม่กล้าที่จะโผล่
พรวดเข้าไปแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงอยู่ดี ตราบใดที่
พระราชายังคงครองราชย์อยู่
ขณะที่ไคลม์กำลังเปิดประตู เขาได้ยินเสียง
การสนทนาผ่านประตู ที่เปิดเล็กน้อย
เป็นเสียงผู้หญิงสองคน
หนึ่งในนั้นเป็นนายหญิงของเขาเอง ไคลม์ยังคงยืน
เป็นเสียงผู้หญิงสองคน
หนึ่งในนั้นเป็นนายหญิงของเขาเอง ไคลม์ยังคงยืน
อยู่นอกประตู แต่เธอก็ยังไม่เห็นเขา อาจจะเป็น
เพราะเธอกำลังสนุก
ไปกับการสนทนา ไคลม์รู้สึกไม่อยากเข้าไปขัดจัง
ไปกับการสนทนา ไคลม์รู้สึกไม่อยากเข้าไปขัดจัง
หวะในขณะที่เรนเนอร์กำลังตื่นเต้นไปกับการสนทนา
เขาเลยยังคง
ยืนอยู่ เขารู้สึกผิดเกี่ยวกับการแอบฟัง แต่ว่ามันคงจะ
แย่กว่าถ้าเข้าไปขัดจังหวะตอนนี้
"ฉันบอกไปแล้วใช่ไหม? ประชาชนย่อมมุ่งไป
"ฉันบอกไปแล้วใช่ไหม? ประชาชนย่อมมุ่งไป
ที่ผลกำไรที่รวดเร็ว"
"ฮืม..."
"ฮืม..."
"...ก็แผนการปลูกพืชแบบหมุนเวียนที่เธอพูดไง,
เรนเนอร์...ฉันยังไม่เข้าใจว่ามันจะเพิ่มผลผลิตได้ยังไง
แต่มันใช้เวลา
นานเท่าไรละ ถึงจะเห็นผล"
"ก็สักหกปีหรืออาจจะมากกว่า."
"ก็สักหกปีหรืออาจจะมากกว่า."
"และจะสูญเสียเงินไปมากเท่าไรสำหรับการปลูก
พืชแบบนี้ใน6ปี? "
"มันอาจจะขึ้นอยู่กับพืชที่มีปัญหา แต่ว่าสมมุติว่า
"มันอาจจะขึ้นอยู่กับพืชที่มีปัญหา แต่ว่าสมมุติว่า
ผลผลิตปกติคือ1นะ ฉันคิดว่ามันจะลดลงเหลือ0.8 ...
หรือก็คือเสีย
รายได้20% แน่นอนว่า6ปีให้หลัง จะเพิ่มขึ้นเป็น1.3
และจะมันเป็นแบบนั้นต่อเนื่องตลอด และถ้าเราเพิ่ม
ปศุสัตว์ไป
ด้วยตัวเลขก็จะสูงขึ้นไปอีก"
"...นั้นฟังดูไม่ค่อยดึงดูดเท่าไร แต่ชาวนาจะยอมสูญเสีย
"...นั้นฟังดูไม่ค่อยดึงดูดเท่าไร แต่ชาวนาจะยอมสูญเสีย
รายได้20%ใน6ปีได้หรอ"
"ฉันคิดว่าเราสามารถให้ประเทศปล่อยเงินกู้ ทดแทน
"ฉันคิดว่าเราสามารถให้ประเทศปล่อยเงินกู้ ทดแทน
สำหรับรายได้ที่จะเสียไป20% และขอชำระคืนหลัง
จากที่ผล
ผลิตเป็นปกติหากผลผลิตไม่เพิ่มขึ้นมาก็อาจ
จะอนุญาติให้ไม่ต้องชำระคืนหรืออาจจะมีวิธีอื่นๆอีก
แต่ที่สำคัญคือ
ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้นก็จะสามารถชำระได้ภายในสี่ปี"
"มันอาจจะยาก"
"ทำไมล่ะ"
"ก็บอกไปแล้วใช่ไหม ? ผู้คนย่อมสนใจไปที่ผลกำ
ไรที่รวดเร็วและพวกเขาก็ต้องการความมั่นคง คนจำนวน
มากต้อง
ลังเลแน่ถ้าบอกว่าจะได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ใน
อีกตั้ง6ปี"
"ฉัน...ไม่เข้าใจ มันเห็นผลอย่างดีในการทดสอบนะ"
"การทดลองมันอาจจะทำได้ดี แต่ก็ยังไม่สามารถรับ
"ฉัน...ไม่เข้าใจ มันเห็นผลอย่างดีในการทดสอบนะ"
"การทดลองมันอาจจะทำได้ดี แต่ก็ยังไม่สามารถรับ
ประกันได้ว่ามันจะสำเร็จนะ"
"อือ, นั้นมันก็จริง เรายังไม่สามารถคาดการณ์ถึงทุก
"อือ, นั้นมันก็จริง เรายังไม่สามารถคาดการณ์ถึงทุก
ความเป็นไปได้ ดังนั้นยังรับประกันผลลัพธ์ไม่ได้ด้วย
ถ้าเราต้อง
พิจารณาถึงคุณภาพดินและสภาวะอากาศด้วยอีก
การทดลองก็คงจะยากเกินไป"
"ฟังดูลำบากแหะ ฉันไม่แน่ใจว่า30%มันเป็นขั้นต่ำหรือ
"ฟังดูลำบากแหะ ฉันไม่แน่ใจว่า30%มันเป็นขั้นต่ำหรือ
ค่าโดยเฉลี่ย ไม่ว่าจะยังไงมันก็ดูไม่น่าเชื่อมากนัก
เธอต้องมีอะไรรับประกันกำไรของพวกเขา "
"งั้นถ้าสงเคราะห์เงินในส่วนของ20% ในระยะเวลา6ปีล่ะ"
"แบบนั้นพวกขุนนางคงจะชอบ เพราะอำนาจของกษัตริย์
ต้องอ่อนแอลงแน่"
"แต่ถ้าแบบนั้นภายใน6ปีให้หลัง ราชอาณาจักรก็จะแข็ง
"แต่ถ้าแบบนั้นภายใน6ปีให้หลัง ราชอาณาจักรก็จะแข็ง
แกร่งขึ้นเช่นกันใช่ไหม"
"นั้นก็ยังหมายความว่าภายใน6ปี ขุนนางก็แข็งแกร่งขึ้น
"นั้นก็ยังหมายความว่าภายใน6ปี ขุนนางก็แข็งแกร่งขึ้น
จนไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ๆ"
"งั้นถ้า เราให้พ่อค้าช่วยละ"
"พวกพ่อค้ารายใหญ่นะหรอ พวกเขาก็มีการเมืองของเขา
เหมือนกัน ถ้าพวกเขาช่วยราชวงศ์ ก็อาจจะทำลาย
ความสัมพันธ์กับขุนนางได้"
"ดูท่าจะยังคงมีปัญหามากมายสินะ...ลาเกียส"
"ทั้งหมดเป็นเพราะเธอยังวางแผนล่วงหน้าไม่ดีพอ
...ฉันเข้าใจว่ามันยากที่จะเสนอเรื่องต่างๆโดยมี
สองอำนาจคอย
ขัดขวางอยู่ในประเทศนี้... เดียวถ้าเราดำเนินการในที่
ดินของราชวงศ์ละ
"พี่ชายฉันไม่ยอมแน่"
"อ่าพวกนั้นนะหรอ...พวกสุภาพบุรุษที่ทิ้งความฉลาดไว้
"พี่ชายฉันไม่ยอมแน่"
"อ่าพวกนั้นนะหรอ...พวกสุภาพบุรุษที่ทิ้งความฉลาดไว้
ในท้องแม่ให้เธอสินะ"
"...แต่ว่าเราคนละแม่กันนะ"
"อ๊าาา และยังทิ้งไว้ให้ราชาเนี่ยนะ นี้มันเลวร้ายชะมัด
"...แต่ว่าเราคนละแม่กันนะ"
"อ๊าาา และยังทิ้งไว้ให้ราชาเนี่ยนะ นี้มันเลวร้ายชะมัด
แม้แต่ราชวงศ์ยังไม่เป็นหนึ่งเดียวกันเลย"
และห้องก็เงียบลงไป เป็นการบอกไคลม์ว่าการสนทนา
และห้องก็เงียบลงไป เป็นการบอกไคลม์ว่าการสนทนา
ได้สิ้นสุดลงแล้ว
"อะ เธอคนนั้นน่ะ เข้ามาได้แล้ว.. ได้ใช่ไหม เรนเนอร์?"
"ฮือ!?"
หัวใจของไคลม์แทบวูบ หลังจากที่เขาได้ยินคำพูดนั้น
"อะ เธอคนนั้นน่ะ เข้ามาได้แล้ว.. ได้ใช่ไหม เรนเนอร์?"
"ฮือ!?"
หัวใจของไคลม์แทบวูบ หลังจากที่เขาได้ยินคำพูดนั้น
ไคลม์รู้สึกประหลาดใจที่มีคนสังเกตเห็นเขาถึงแม้เขาจะ
คาดไว้นิดๆก็ตาม
เขาค่อยๆเปิดประตู
"ขออภัยด้วย."
เขาค่อยๆเปิดประตู
"ขออภัยด้วย."
สายตาที่คุ้นเคยมองมาที่ไคลม์
ภายในห้องดูมีความหรูหราแต่ดูไม่มีสไตล์
ภายในห้องดูมีความหรูหราแต่ดูไม่มีสไตล์
และยังมีสาวผมบลอนสองคน นั้งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง
ทั้งคู่เป็นหญิงสาวที่งดงามมาก
หนึ่งในนั้นคือเจ้าของห้องนี้ เรนเนอร์
ส่วนอีกคนหนึ่งที่นั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาของ
ทั้งคู่เป็นหญิงสาวที่งดงามมาก
หนึ่งในนั้นคือเจ้าของห้องนี้ เรนเนอร์
ส่วนอีกคนหนึ่งที่นั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาของ
เธอเป็นสีเขียวและลิมฝีปากสีชมพูดูมีความสดใส
ขณะที่เธอมองไปที่
เรนเนอร์ก็ดูมีมนต์เสน่ห์ออกมา หากเรนเนอร์ส่อง
ประกายดั่งอัญมณี เธอก็ส่องประกายไปด้วยความมี
ชีวิตชีวา
ชื่อของเธอคือ ลากิอัส อัลเวน เดล อินทรา
ชื่อของเธอคือ ลากิอัส อัลเวน เดล อินทรา
มันยากที่จะบอกว่าตอนนี้เธอใส่ชุดเดรสสีชมพูอยู่
เพราะผู้หญิงคนนี้นี้คือหัวหน้าทีมนักผจญภัยระดับ
อาดามันไทท์
ทีมนักผจญภัยหนึงในสองของราชอาณาจักร
และยังเป็นเพื่อนสนิทของเรนเนอร์
เธอได้ประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่อายุ 19
เธอได้ประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่อายุ 19
ในความเป็นจริงคือ ด้วยพรสวรรค์อันน่าตกใจของ
เธอถูก
พิจารณาให้เป็นนักผจญภัยระดับอาดามันไทท์.
ไคลม์รู้สึกอิจฉาเล็กๆภายในใจของเขา
"สวัสดีตอนเช้า ท่านเรนเนอร์ , ท่านอินดรา "
"สวัสดีตอนเช้า ไคลม์"
"สวัสดี"
หลังจากทักทายไคลม์ก็เดินไปทางตำแหน่งประจำ
ของเขา ด้านหลังทางขวาของเรนเนอร์
แต่มีเสียงหยุดเขาไว้
"ไคลม์ ไม่ใช่ทางนั้น, ตรงนี้"
เรนเนอร์มองไปที่เก้าอี้ทางขวาของเธอเพื่อเป็นการบอก
ไคลม์พบว่ามันแปลกมาก มีเก้าอี้ห้าตัวจัดไว้รอบโต๊ะ
"ไคลม์ ไม่ใช่ทางนั้น, ตรงนี้"
เรนเนอร์มองไปที่เก้าอี้ทางขวาของเธอเพื่อเป็นการบอก
ไคลม์พบว่ามันแปลกมาก มีเก้าอี้ห้าตัวจัดไว้รอบโต๊ะ
กลม มันมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตามมีชาสามถ้วยอยู่บน
โต๊ะ
อันแรกอยู่ด้านหน้าเรนเนอร์เอง อีกอันของลาเกียส
อันแรกอยู่ด้านหน้าเรนเนอร์เอง อีกอันของลาเกียส
อันที่สามอยู่ระหว่างทั้งคู่ แต่ไคลม์ก็ไม่เห็นบุคคลที่สาม
ในห้อง
ไคลม์ถูกทำให้ประหลาดใจ แต่ว่าเขาก็คงยังมองเก้าอี้
ไคลม์ถูกทำให้ประหลาดใจ แต่ว่าเขาก็คงยังมองเก้าอี้
ต่อไป
ด้วยคำสั่งที่เรนเนอร์สั่ง ทำให้เขาเกิดความเครียดอย่าง
ด้วยคำสั่งที่เรนเนอร์สั่ง ทำให้เขาเกิดความเครียดอย่าง
มาก ไม่ว่าจะด้วยเรื่องที่ต้องนั้งร่วมกับเจ้านายของเขา
ที่เป็น
ถึงราชวงศ์หรือการที่เขาเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญอีก
"แต่..."
ไคลม์หันไปทางผู้หญิงอีกคนเพื่อขอความช่วยเหลือ
"แต่..."
ไคลม์หันไปทางผู้หญิงอีกคนเพื่อขอความช่วยเหลือ
หวังว่าเธอจะปฎิเสธเขา แต่ความหวังเขาก็ถูกทำลายทัน
ที
"ฉันไม่รังเกียจหรอก."
"งั้นก็ นี้คือคุณ อินดรา"
"บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ? ให้เรียก ลาเกียส "
"ฉันไม่รังเกียจหรอก."
"งั้นก็ นี้คือคุณ อินดรา"
"บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ? ให้เรียก ลาเกียส "
ลากิอัส มองไปที่เรนเนอร์
"คุณ..คนพิเศษของไคลม์"
"ใจร้าย"
ลาเกียสออกเสียงหวานๆแกล้ง โดยเรนเนอร์บ่นออก
"คุณ..คนพิเศษของไคลม์"
"ใจร้าย"
ลาเกียสออกเสียงหวานๆแกล้ง โดยเรนเนอร์บ่นออก
มาด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนมันเป็นเช่นนั้นแม้ว่าเธอจะกัดริมฝีปากเล็กๆที่ไม่
แน่นอนมันเป็นเช่นนั้นแม้ว่าเธอจะกัดริมฝีปากเล็กๆที่ไม่
เข้ากับดวงตาเท่าไร ก็นับว่ากำลังยิ้มอยู่
"คุณ อินดรา อย่าแกล้งกันสิ"
"โอเครๆ ดูท่าเธอจะหลงกลเข้าเต็มเปาแล้ว, ใช่ไหม?
"คุณ อินดรา อย่าแกล้งกันสิ"
"โอเครๆ ดูท่าเธอจะหลงกลเข้าเต็มเปาแล้ว, ใช่ไหม?
ไคลม์เธอก็เรียนรู้ที่จะไม่หลงกลอะไรง่ายๆแบบนี้ด้วยนะ"
"เอ๋? ล้อเล่น?"
เรนเนอร์แสดงอาการประหลาดใจ จนแม้แต่ลาเกียสก็
"เอ๋? ล้อเล่น?"
เรนเนอร์แสดงอาการประหลาดใจ จนแม้แต่ลาเกียสก็
แทบตัวแข็งไปกับการแกล้งทำนั้น จากนั้นก็เริ่มที่แสดง
อาการ
เอาจริงเอาจังอย่างสุดๆ
"แน่นอน ไคลม์เป็นคนพิเศษ แต่ว่านั้นก็เพราะว่า
เอาจริงเอาจังอย่างสุดๆ
"แน่นอน ไคลม์เป็นคนพิเศษ แต่ว่านั้นก็เพราะว่า
เขาเป็นของเธอ"
ใบหน้าของเรนเนอร์กลายเป็นสีชมพูทันทีจนเธอต้องเอา
ใบหน้าของเรนเนอร์กลายเป็นสีชมพูทันทีจนเธอต้องเอา
มือจับแก้มของเธอไว้ ไคลม์ไม่รู้ว่าควรทำไงดีจึงได้แต่
หันมองไปทางอื่นและเขาก็ต้องเบิกตาขึ้นทันที
นั้นก็เพราะมีคนนั้งอยู่ในเงามืดบริเวณมุมห้อง เธอเป็น
ผู้หญิง กำลังนั้งกอดเข่าสวมเสื้อผ้าสีดำที่ไม่เหมาะกับ
บรรยากาศในห้อง
"อะไรน่ะ! "
ไคลม์ตกใจและคว้าดาบข้างเอวของเขา เตรียมเข้า
ปกป้องเรนเนอร์ทันที
ลาเกียสถอนหายใจ
"ด้วยท่าทางนั้น เธอตกใจ กลัวและตื่นตระหนกมากเกิน
ลาเกียสถอนหายใจ
"ด้วยท่าทางนั้น เธอตกใจ กลัวและตื่นตระหนกมากเกิน
ไปแล้วไคลม์
ด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายและไม่มีคำเตือนของลาเกียส
ด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายและไม่มีคำเตือนของลาเกียส
ทำให้ไคลม์เข้าใจและค่อยๆผ่อนแรงไหล่ของเขาลง
"เข้าใจแล้ว หัวหน้า"
ผู้หญิงที่นั้งอยู่ในความมืดดีดตัวขึ้นมาทันที
"อ่า นายอาจยังจะไม่รู้เธอ เธอคือหนึ่งในสมาชิกทีมของ
"เข้าใจแล้ว หัวหน้า"
ผู้หญิงที่นั้งอยู่ในความมืดดีดตัวขึ้นมาทันที
"อ่า นายอาจยังจะไม่รู้เธอ เธอคือหนึ่งในสมาชิกทีมของ
ฉันเอง"
"นี้คือ คุณทิน่า"
เท่าที่ไคลม์รู้ นักผจญอภัยระดับอาดามันไทท์ทีม
"นี้คือ คุณทิน่า"
เท่าที่ไคลม์รู้ นักผจญอภัยระดับอาดามันไทท์ทีม
Blue Rose ประกอบด้วยผู้หญิงห้าคน ผู้นำของพวกเขา
นักเวทย์ศักสิทธิ์ lakyus ยอดนักรบGagaran นักเวทย์
แห่งความมืด Evileye และยอดนักฆ่า Tia กับ Tina
ไคลม์เคยเห็นสามคนแรกแล้วแต่ยังไม่เคยเห็นสอง
คนที่เหลือ
งั้นเธอก็คงเป็น...ชื่อเสียงของเธอไม่ได้มีไว้แค่ประดับ
งั้นเธอก็คงเป็น...ชื่อเสียงของเธอไม่ได้มีไว้แค่ประดับ
เฉยๆสินะ
เธอสวมใส่ชุดแขนขายาวและมันแนบชิดสนิทกับเนื้อ
เธอสวมใส่ชุดแขนขายาวและมันแนบชิดสนิทกับเนื้อ
หนังเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ดูเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญและมี
เทคนิคด้านการขโมยสูง
"..ขออภัยด้วย ยินดีที่ได้รู้จักครับชื่อของผมคือไคลม์"
ไคลม์ก้มตัวเต็มที่ต่อทิน่า
" หา? ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก"
เธอโบกมือลวกๆให้ไคลม์จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะอย่าง
"..ขออภัยด้วย ยินดีที่ได้รู้จักครับชื่อของผมคือไคลม์"
ไคลม์ก้มตัวเต็มที่ต่อทิน่า
" หา? ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก"
เธอโบกมือลวกๆให้ไคลม์จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะอย่าง
เสือป่าดุร้ายแต่ก็ดูมีความสุภาพและสง่างามและนั้งลง
บนเก้าอี้ข้างๆ
ลากิอัส และดูเหมือนน้ำชาตอนนี้จะเป็นของเธอแล้ว
ไคลม์มองดูรอบๆว่ายังมีผู้หญิงอีกคนที่เขาไม่เห็นอีก
ไคลม์มองดูรอบๆว่ายังมีผู้หญิงอีกคนที่เขาไม่เห็นอีก
ไหม ถึงแม้จะมีน้ำชาแค่สามถ้วย แต่ไคลม์ก็ยังลอง
สำรวจดู
ลากิอัส เห็นไคลม์แบบนั้น เลยพูดว่า
"เทียร์ไม่ได้อยู่นี้หรอก ทั้งGagaranแล้วก็evilleyeด้วย
ลากิอัส เห็นไคลม์แบบนั้น เลยพูดว่า
"เทียร์ไม่ได้อยู่นี้หรอก ทั้งGagaranแล้วก็evilleyeด้วย
พวกเธอไม่ชอบที่ต้องมาคอยแต่งตัวสุภาพแล้วก็มา
เสวนากันเท่าไร แน่นอนว่าตอนนี้ฉันแต่งตัวสุภาพอยู่
เสวนากันเท่าไร แน่นอนว่าตอนนี้ฉันแต่งตัวสุภาพอยู่
แต่ก็ไม่ได้ให้พวกเขาทำด้วยสะหน่อยนะ"
"ครับผม แต่ก็เป็นเกีตรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จักกับคุณ
"ครับผม แต่ก็เป็นเกีตรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จักกับคุณ
ทิน่าที่โด่งดังนะครับ ผมหวังว่าจะมีโอกาสที่จะได้รับ
การชี้แนะจากคุณในอนาคตนะครับ"
"คุยทีหลัง. นั้งก่อน"
พอได้ยินดังนั้นเรนเนอร์ก็เริ่มเทน้ำชาเตรียมให้ไคลม์
"คุยทีหลัง. นั้งก่อน"
พอได้ยินดังนั้นเรนเนอร์ก็เริ่มเทน้ำชาเตรียมให้ไคลม์
น้ำชาอุ่นๆไหลออกมาจากไอเท็มเวทมนต์ชนิดหนึ่ง
มันเป็นไอเท็มที่สามารถกักเก็บความร้อนได้ชั่วขณะ
เธอมักเอามาใช้บ่อยๆตอนที่มีแขกสำคัญ
ไคลม์รู้ว่าไม่มีใครคัดค้านอีกแล้ว จึงยอมนั้งลง
ไคลม์รู้ว่าไม่มีใครคัดค้านอีกแล้ว จึงยอมนั้งลง
บนเก้าอี้และดื่มชาแต่โดยดี
"อร่อยมากครับ ท่านเรนเนอร์"
เรนเนอร์ยิ้มให้ แต่ไคลม์กลับไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดไปมันดี
"อร่อยมากครับ ท่านเรนเนอร์"
เรนเนอร์ยิ้มให้ แต่ไคลม์กลับไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดไปมันดี
แล้วรึป่าว แต่ว่าเรนเนอร์ทำเองด้วยมันคงดีแล้วละมั้ง
ไคลม์สรุปดังนั้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียบๆไร้อารมณ์พูดออกมา
"ยัยนั้นตอนนี้ก็คงกำลังออกไปรวบรวมข้อมูลอยู่แหละ
ไคลม์สรุปดังนั้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียบๆไร้อารมณ์พูดออกมา
"ยัยนั้นตอนนี้ก็คงกำลังออกไปรวบรวมข้อมูลอยู่แหละ
พวกเราควรจะมาที่นี้พร้อมกันแท้ๆ
แต่สุดท้ายหัวหน้าใจยักษ์
ก็หนีออกมาก่อนสะงั้น ทั้งหมดนี้เป็นความผิด
ก็หนีออกมาก่อนสะงั้น ทั้งหมดนี้เป็นความผิด
ของหัวหน้าเลย"
หลังจากทิน่าพูด ลากิอัสก็ยิ้มอย่างหน้ากลัวออก
หลังจากทิน่าพูด ลากิอัสก็ยิ้มอย่างหน้ากลัวออก
มาตั้งแต่เธอได้ยินคำว่าใจยักษ์ ไคลม์เลยพยายามมอง
ไปอื่นและพูดออกมาว่า
"เข้าใจแล้วครับ... ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้พบเธอละ
"เข้าใจแล้วครับ... ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้พบเธอละ
กันครับ
"ไคลม์ ทิน่ากับเทียร์น่ะเป็นฝาแฝดกัน แม้แต่ทรง
"ไคลม์ ทิน่ากับเทียร์น่ะเป็นฝาแฝดกัน แม้แต่ทรง
ผมยังคล้ายๆกันเลย"
"ดังนั้นถ้าเห็นแล้วคนนึงแล้ว ก็เหมือนได้เจออีกคนแล้ว
"ดังนั้นถ้าเห็นแล้วคนนึงแล้ว ก็เหมือนได้เจออีกคนแล้ว
หล่ะ"
ไคลม์ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น แต่เขาก็พยัก
ไคลม์ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น แต่เขาก็พยัก
หน้าด้วยความเข้าใจ
ไคลม์สังเกตเห็นว่าทิน่ามองมาที่ไคลม์จนเขารู้สึก
ไคลม์สังเกตเห็นว่าทิน่ามองมาที่ไคลม์จนเขารู้สึก
อึดอัดสุดๆ ไคลม์พยายามที่จะไม่แสดงอาการใดๆ
แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า
บางทีเธออาจจะมีอะไรต้องการพูดรึป่าว
บางทีเธออาจจะมีอะไรต้องการพูดรึป่าว
เขาจึงตัดสินใจที่จะถามเธอ
"มีเรื่องอะไรเป็นปัญหารึเปล่าครับ"
"นายเป็นปัญหานั้นเลย"
"ห๊ะ?"
ไคลม์ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ หลังจากเห็นใบหน้ามึนงง
"มีเรื่องอะไรเป็นปัญหารึเปล่าครับ"
"นายเป็นปัญหานั้นเลย"
"ห๊ะ?"
ไคลม์ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ หลังจากเห็นใบหน้ามึนงง
ของไคลม์ ลากิอัสเลยตัดบทสนาของทั้งสองคน
"มันไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เรื่องตลกนะ
"มันไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เรื่องตลกนะ
อย่าเอาไปคิดมากนะเข้าใจไหม ไม่ต้องกังวลเรื่อง
นี้จริงๆ"
"ครับ.."
"...อะไรหรอ ลากิอัส?"
ไคลม์ตัดสินใจว่าจะไม่ถามอะไรเพิ่มเติม
"ครับ.."
"...อะไรหรอ ลากิอัส?"
ไคลม์ตัดสินใจว่าจะไม่ถามอะไรเพิ่มเติม
แต่เรนเนอร์ก็ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ลาเกียสเริ่มแสดง
หน้าบึ้งขณะมองไปที่เรนเนอร์
"แหม พูดถึงไคลม์ทีไร.."
"หัวหน้า ฉัน-"
"เงียบไปเลย ที่ไม่ได้พาเทียร์มาด้วยก็แค่
"แหม พูดถึงไคลม์ทีไร.."
"หัวหน้า ฉัน-"
"เงียบไปเลย ที่ไม่ได้พาเทียร์มาด้วยก็แค่
เพราะเธอคงเอาแต่บอกเรื่องไร้สาระให้เรนเนอร์ฟัง
เข้าใจใช่ไหม?คงไม่เป็น
ปัญหาถ้าเธอจะไม่ขุดคุ้ยเรื่องนี้นะ"
"เข้าใจแล้ว หัวหน้าใจยักษ์.."
"...ลาเกียสทั้งหมดนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไรหรอ"
ใบหน้าลาเกียสกระตุกเมื้อเห็นเรนเนอร์เริ่มถาม
ปัญหาถ้าเธอจะไม่ขุดคุ้ยเรื่องนี้นะ"
"เข้าใจแล้ว หัวหน้าใจยักษ์.."
"...ลาเกียสทั้งหมดนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไรหรอ"
ใบหน้าลาเกียสกระตุกเมื้อเห็นเรนเนอร์เริ่มถาม
อย่างหดหู่
เธอเลยหันหน้าไปหนีเบี่ยงประเด็นไปทางไคลม์แทน
"อ่า...ไคลม์เธอคงจะพอใจกับชุดนี้สินะ"
"ครับ นี้เป็นชุดเกราะชั้นยอด ขอบคุณมากครับ"
มันเป็นการเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาที่ชวนอึดอัดมาก
เธอเลยหันหน้าไปหนีเบี่ยงประเด็นไปทางไคลม์แทน
"อ่า...ไคลม์เธอคงจะพอใจกับชุดนี้สินะ"
"ครับ นี้เป็นชุดเกราะชั้นยอด ขอบคุณมากครับ"
มันเป็นการเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาที่ชวนอึดอัดมาก
เพื่อไม่ให้เสียมารยาทไคลม์เลยลูบชุดเกราะ
สีขาวที่นายหญิง
ของเขาเป็นคนมอบให้. มันถูกสร้างด้วยมิทริลและ
ของเขาเป็นคนมอบให้. มันถูกสร้างด้วยมิทริลและ
โอริฮัลคอนจำนวนมาก มันเบาและยังมีความแข็งแกร่ง
บลูโรสเป็นคนคอยจัดหาแร่มิทริลให้โดยไม่เสียค่าใช้
บลูโรสเป็นคนคอยจัดหาแร่มิทริลให้โดยไม่เสียค่าใช้
จ่าย ไคลม์อยากจะขอบคุณเรื่องนั้นจริงๆ จึงก้มหัวให้
"อย่าคิดมากๆ เราแค่ใช้วัสดุเหลือใช้ ตอนที่เราทำชุด
"อย่าคิดมากๆ เราแค่ใช้วัสดุเหลือใช้ ตอนที่เราทำชุด
เกราะมิทริลของพวกเรา เอง"
ถึงเธอจะบอกว่ามันเป็นของเหลือแต่ความเป็นจริง
ถึงเธอจะบอกว่ามันเป็นของเหลือแต่ความเป็นจริง
แร่มิทริลเป็นแร่ที่มีราคาสูงลิบลิ้่ว
นักผจญภัยระดับมิทริลเองก็
อาจจะมีแค่อาวุธระดับมิทริลเท่านั้น
อาจจะมีแค่อาวุธระดับมิทริลเท่านั้น
ส่วนนักผจญภัยระดับโอริฮัลคอนก็อาจจะมีเกราะ
ระดับมิทริลได้ แต่นักผจญ
ภัยระดับอาดามันไทท์สามารถจัดหาได้โดยไม่มี
ภัยระดับอาดามันไทท์สามารถจัดหาได้โดยไม่มี
ค่าใช้จ่าย
"แถม เรนเนอร์เป็นคนขอมาเองเลยนะ
"แถม เรนเนอร์เป็นคนขอมาเองเลยนะ
จะให้ปฎิเสธได้ไง"
"ทำไมเธอปฎิเสธไม่ให้ฉันช่วยออกเงินเลยละ
"ทำไมเธอปฎิเสธไม่ให้ฉันช่วยออกเงินเลยละ
ฉันมีเก็บไว้อยู่เหมือนกันนะ"
"...มันไม่ถูกต้องที่จะให้เจ้าหญิงใช้เงินเบี้ยเลี้ยงของเธอ
"...มันไม่ถูกต้องที่จะให้เจ้าหญิงใช้เงินเบี้ยเลี้ยงของเธอ
จริงไหม?"
"เงินนี้มาจากรายได้อื่นที่ไม่ใช่มาจากอาณาจักรนะ
"เงินนี้มาจากรายได้อื่นที่ไม่ใช่มาจากอาณาจักรนะ
ฉันแค่อยากใช้เงินของตัวเองสร้างเกราะให้ไคลม์"
"หมายถึงเธอเตรียมเงินที่จะอยากไว้ซื้อชุดเกราะ
"หมายถึงเธอเตรียมเงินที่จะอยากไว้ซื้อชุดเกราะ
ให้ไคลม์สินะ"
" อย่าแกล้งไม่รู้สิ แล้วทำไมถึงไม่ให้ฉันออกเงินละ
" อย่าแกล้งไม่รู้สิ แล้วทำไมถึงไม่ให้ฉันออกเงินละ
เธอมันยัยคนทึ้ม"
"สร้างสถานการณ์แบบนี้เรียกฉันคนทึ้มจะดีหรออ"
ลาเกียสเริ่มที่จะหัวเราะไปกับการโต้เถียงเมื้อสักครู่
"สร้างสถานการณ์แบบนี้เรียกฉันคนทึ้มจะดีหรออ"
ลาเกียสเริ่มที่จะหัวเราะไปกับการโต้เถียงเมื้อสักครู่
ที่ตอนนี้ดูไม่เป็นการโต้เถียงอีกต่อไปแล้ว
ไคลม์ที่เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ยังคงแสดง
ไคลม์ที่เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ยังคงแสดง
สีหน้าไร้อารมณ์
ความจริงไคลม์เห็นถึงฉากความอบอุ่นนี้ฉากที่เขา
ความจริงไคลม์เห็นถึงฉากความอบอุ่นนี้ฉากที่เขา
อยากจะขอบคุณนายหญิงของเขาแต่ อย่างไรก็ตาม
ไคลม์ไม่สามารถแสดงความรู้สึกนั้นได้
ความกตัญญูเป็นสิ่งหนึ่งที่ไคลม์ควรทำ
ความกตัญญูเป็นสิ่งหนึ่งที่ไคลม์ควรทำ
แต่เบื้องหลังความกตัญญูนั้นเป็นอารมณ์ที่ทรง
พลังและไคลม์อยากแสดง
ออกมามากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำได้
มันเป็นความรักของไคลม์ที่มีให้เรนเนอร์
ไคลม์บดขยี้ความรู้สึกนั้นและซ่อนมันไว้ในตัวเขา
ออกมามากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำได้
มันเป็นความรักของไคลม์ที่มีให้เรนเนอร์
ไคลม์บดขยี้ความรู้สึกนั้นและซ่อนมันไว้ในตัวเขา
ไคลม์ขีดเส้นกั้นความรู้สึกของเขาเหมือน
ที่เขาทำมาโดยตลอด
"ขอบคุณมากครับ ท่านเรนเนอร์"
เรนเนอร์ได้ยินคำแบ่งแยกเขตแดน
"ขอบคุณมากครับ ท่านเรนเนอร์"
เรนเนอร์ได้ยินคำแบ่งแยกเขตแดน
อย่างชัดเจน-มันคือการแบ่งแยกสำหรับเจ้านายและ
คนรับใช้-เรนเนอร์ยิ้ม
เฉพาะไคลม์เท่านั้น คนที่สังเกตและเฝ้าดูเธอมาตลอด
เฉพาะไคลม์เท่านั้น คนที่สังเกตและเฝ้าดูเธอมาตลอด
บอกได้ว่ารอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความเหงา
"เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก. ตอนนี้เราหลุุดหัวข้อการ
"เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก. ตอนนี้เราหลุุดหัวข้อการ
สนทนาไปไกลแล้ว กลับมาที่ประเด็นหลักกันเถอะ"
"เรื่องของแปดนิ้วที่เราพูดถึง ตอนนี้ฉันสงสัยว่ามี
ความเป็นไปได้ไหมว่า สามหมูบ้านที่ผลิตยาเสพติดที่เรา
โจมตีและ
เผาทุ่งเกษตรไปเป็นไปได้ไหมว่า พวกเขาจะสามารถ
เผาทุ่งเกษตรไปเป็นไปได้ไหมว่า พวกเขาจะสามารถ
กู้คืนที่นั้นได้อีกครั้ง"
ทันทีที่ไคลม์ได้ยินชื่อนี้ เขาถึงกับต้องพยายาม
ระงับความโกรธเอาไว้
แปดนิ้ว เป็นชื่อของกลุ่มอาชญากรรมภายใต้เงามืดของ
แปดนิ้ว เป็นชื่อของกลุ่มอาชญากรรมภายใต้เงามืดของ
อาณาจักร. โดยนายหญิงของเขากำลังพยายามหาทาง
จัดการคนพวกนี้อยู่
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการถึงชะตากรรมที่น่าสังเวช
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการถึงชะตากรรมที่น่าสังเวช
ของหมู่บ้านที่พึ่งพายาเสพติดเพื่อความอยู่รอด
ในยามที่ทุ่งนา
ของพวกเขาถูกไฟไหม้ อย่างไรก็ตามพวกเขาจำ
ของพวกเขาถูกไฟไหม้ อย่างไรก็ตามพวกเขาจำ
เป็นต้องเสียสละเพื่อขจัดยาเสพติดในราชอาณาจักร
ถ้าเรนเนอร์มีอำนาจมากพอเธอก็อาจจะใช้วิธีอื่นได้
ถ้าเรนเนอร์มีอำนาจมากพอเธอก็อาจจะใช้วิธีอื่นได้
อย่างไรก็ตามถึงแม้เธอจะเป็นถึงองค์หญิงก็ไม่มี
คนสนับสนุนเธอ
เลย เธอทำได้แค่วางแผนที่จะช่วยคนที่สามารถช่วย
เลย เธอทำได้แค่วางแผนที่จะช่วยคนที่สามารถช่วย
ได้ ให้ได้มากที่สุด
ในอีกทางนึงเรนเนอร์สามารถขอให้พ่อของเธอส่ง
กองกำลังทหารเข้าไปจัดการได้ แต่กลุ่มแปดนิ้วมี
ความสัมพันธ์ฝัง
ลึกไปกับพวกขุนนางแล้ว ดังนั้นตั้งแต่คำสั่งถูกสั่ง
ออกไป พวกนั้นก็คงทำลายหลักฐานการกระทำผิด
ไปหมดแล้ว
ดังนั้นเรนเนอร์เลยตัดสินใจที่จะใช้เพื่อนของเธอ
โดยตรง ลากิอัส
นี้เป็นการกระทำที่มีความเสี่ยงมากเนื่องจากนักผจญ
ภัยจะอยู่ภายใต้กฎกติกาของกิลด์ ผู้จ้างวานต้องทำ
การว่าจ้างผ่าน
กิลด์ก่อนเท่านั้น การที่กลุ่มบลูโรสรับคำขอโดยตรง
จากลูกค้าถือเป็นการละเมิดกติกาของกิลด์อย่างมาก
เท่าที่ไคลม์จำได้ทางกิลด์ไม่สามารถลงโทษหรือขับไล่
นักผจญภัยระดับอาดามันไทท์ได้ ถึงกระนั้นก็จะทำให้
กลุ่มบลูโรสสูญเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมากและยังส่งผล
ต่อการว่าจ้างในอนาคตอีกด้วย แต่กลุ่มบลูโรสก็พร้อม
ที่จะทำงานนี้ต่อไป เนื่องจากพวกเธอรักประเทศนี้
และเรนเนอร์ก็ยังเป็นเพื่อนของพวกเธออีกด้วย
ลากิอัสพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า
***
ลาเกียสตัดสินใจที่จะยังไม่คุยเรื่องนั้น
เธอเปิดถุงผ้าที่ได้มาจากทิน่าและหยิบการดาษแผ่นนึง
ออกมา
นี้เป็นเอกสารที่ไม่มีใครในบลูโรสถอดรหัสได้
แต่ลาเกียสก็รู้จักคนที่ฉลาดที่สุดอยู่คนนึงนั้นคือ
เรนเนอร์ บางทีเธออาจ
จะสามารถจับใจความของหัวเรื่องหรือส่วนย่อยได้บ้าง
"เราพบเอกสารนี้ในตอนที่พวกเราโจมตีหมู่บ้าน
มันดูเป็นลายลักษณ์อักษรแต่พวกเราไม่มีใคร
สามารถอ่านมันได้เลย
เธอพออ่านได้รึเปล่า"
เธอเปิดเอกสารออกมามันแสดงให้เห็นถึงเครื่อง
หมายสัญลักษณ์จำนวนมาก จนดูไม่เหมือนจะเป็น
ภาษาของประเทศ
อื่นๆเรนเนอร์มองดูและตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
"..มันเป็นรหัสคำหรอ"
รหัสคำ จะทำการแสดงรูปแบบอักษรเป็นสัญลักษณ์
เช่นตัว a อาจจะเป็น % ตัว b อาจจะเป็น *
ยกตัวอย่าง*%%*%ก็จะอ่านเป็น baaba
"ฉันก็คิดอย่างงั้น เราพยายามเปรียบเทียบกับตัวอักษร
ต่างๆมาหลายชั่วโมงแล้วแต่มันก็ไม่ถูกสะที
ที่จริงเรามีนักโทษ
ชายอยู่คนนึงที่เราคิดว่าเขาน่าจะพออ่านรหัสพวกนี้ได้
ก็เลยเตรียมที่จะใช้เวทย์เสนห์อยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามมันมี
เรื่องนึงที่เธอควรรู้ไว้ หากใช้เวทย์เสนห์ซ้ำๆ
กับคนเดียวกัน ก็จะทำให้ผลของเวทย์เสื่อมถอยลง
ไปด้วย เราอยากเก็บ
ไว้ยามจำเป็นจริงๆ ก็เลยตัดสินใจมาถามเธอไว้ก่อนหนะ"
"อืม..เป็นไปได้ไหมว่ามันอาจจะเป็นแค่กับดัก?
หรืออะไรอย่างอื่น ไม่งั้นมันก็คงไม่ยากจนถอด
รหัสไม่ได้ ฉันคิดว่าเรื่อง
นี้ฉันอาจจะทำได้นะ"
คำพูดของเรนเนอร์ทำให้ลาเกียสมองกว้างขึ้น
แต่เธอก็ไม่สามารถช่วยได้ ก็เลยหันหน้า
ไปคุยกับทิน่าแทน
"ฉันคิดว่าเธอทำมันได้แน่"
"อืออ...ในภาษาของราชอาณาจักร
คำแรกในเอกสารก็ควรเป็นผู้ชายไม่ก็เพศ..
ขอเวลาสักครู่นะ"
ขณะที่เรนเนอร์พิมพำกับตัวเองเธอก็ลุกขึ้นไปหยิบ
กระดาษกับปากกา
จากนั้นเธอก็เริ่มเขียนข้อความลงไปโดยขีด
เส้นแบ่งเป็นหมวดหมู่
"นี้เป็นรหัสคำแบบหนึ่งตัวอักษรต่อหนึ่งสัญลักษณ์
ดังนั้นการจะถอดรหัสพวกนี้ทำได้ง่ายมาก
แถมยังโชคดีที่พวกเขา
ใช้ภาษาของราชอาณาจักรถ้าใช้ภาษาจักรวรรดิ
บาฮารุสหรือภาษาอื่นๆก็คงจะยากหน่อยละ
ถ้าเรารู้ความหมายของ
คำหนึ่งคำเราก็จะสามารถรู้ตัวอักษรของสัญลักษณ์ได้
มากขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงมีเวลาไม่ว่าใครก็ทำได้แล้ว"
"ไม่ๆๆ พูดมันก็ดูง่ายนะสิ มันมีเป็นหมื่นคำเลยนะ
ยิ่งถ้าต้องการให้รู้ความหมายด้วยอีกไม่เท่ากับว่าเรา
ต้องลองกันเป็น
หมื่นคำเพื่อถอดรหัสเลยหรอ"
"ไม่ต้องห่วง ก่อนอื่นคนพวกนี้ไม่ใช้คำสุภาพแบบ
สละสลวยกันมากนักและยังต้องไม่ซับซ้อนมากเกิน
ไปด้วยดังนั้นพวกเขาก็ต้องทำให้ง่ายพอที่จะเข้าใจกัน
เองขอบเขตของคำก็จะค่อยๆแคบลงมาด้วย"
ในใจของลาเกียสประทับใจเป็นอย่างมาก
เพื่อนของเธอทำเสียงดั่งมันง่ายดายมาก
ซึ่งมันจริงๆมันก็ไม่ง่ายเลยสำหรับเธอ
อย่างไรก็ตามฉันเชื่อว่าเรนเนอร์ก็ทำมันได้แน่
ถ้าจะใช้คำว่าอัจฉริยะ เรนเนอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน
ขณะที่ลาเกียสกำลังประทับใจ
เรนเนอร์ก็พูดออกมาเบาๆ "เสร็จแล้วว"
ก่อนที่จะส่งกระดาษที่แปลแล้วให้
ที่เขียนไว้มีการแสดงถึงตำแหน่งหลายตำแหน่ง
ในอาณาจักรแต่มีแค่เจ็ดแห่งเท่านั้นที่อยู่ในเมืองหลวง
"สถานที่ซื้อขายยาเสพติดงั้นหรอหรือว่าจะเป็น
แหล่งกบดานลับ"
"ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นพื้นที่การผลิตธรรมดา
อาจจะเป็นแค่เหยื่อล่อ เธอคิดว่าไง"
"เหยื่อ? งั้นมันก็เป็นกับดักสินะ"
"ฉันไม่คิดอย่างงั้น แปดนิ้วนะเป็นองกรค์ใหญ่สินะ
จริงๆพวกเขาเป็นกลุ่มแปดกลุ่มที่ทำงานร่วมกันใช่ไหม
ลาเกียสพยักหน้า
"งั้นนี้่ก็น่าจะเป็นข้อมูลของอีกเจ็ดกลุ่มที่เหลือ
คงบอกได้ว่าเป็นการจงใจปล่อยข้อมูลเพื่อที่หลุด
จากการโดนตามล่าและขจัดปัญหาทิ้งไปในตััวด้วย
"คงพูดได้เหมือนกันว่า คนพวกนี้ก็คงรวบรวมข้อมูล
ในองค์กรอื่นๆเอาไว้แล้วแหละ ก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะ
รวมกันเป็นปึกแผ่นหรอก
แต่ว่าแบบนี้มันก็ดูตลกเหมือนกันนะ"
ในสถานะที่เป็นนักผจญภัย แนวคิดที่ต้องคอย
ทรยศเพื่อนทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง
"งั้นเราควรไม่ต้องเร่งรีบในส่วนนี้เกินไปดีไหม
ฉันคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นผลเสียกับเรา"
หลังจากเห็นเรนเนอร์พยักหน้า ลาเกียสก็เลยถามต่อ
"แล้วเราควรทำยังไงกับซ่องนั้นดี ฉันได้ยินมาว่า
มันเป็นที่ที่เลวร้ายมาก พวกต่ำช้านั้นสามารถลิ้ม
รสอะไรก็ได้ที่พวกมันจินตนาการ"
ลากิอัสรู้สึกโกรธตั้งแต่เอ่ยถึงเรื่องพวกนี้
ไอ้พวกเดนนรก พวกสารเลวที่คิดได้ด้วย
อวัยวะเพศสมควรถูกฆ่านัก!
เธอนึกถึงตอนที่เธอได้รู้เกี่ยวกับซ่องพวกนี้
เธอก็ปฎิเสธที่จะเป็นชนชั้นสูงอีกต่อไป
และมาเป็นนักผจญภัยแทนเพื่อ
ที่เธอจะสามารถลบความเศร้าและความอัปมงคลใน
ใจที่ตระกูลของเธอทำไว้ ความหมายของ
คำว่า"ลิ้มรสอะไรก็ได้
ที่พวกมันจินตนาการ" เป็นการที่ผู้หญิงต้องถูกทารุณ
และฆ่า เพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ในอดีตการค้าทาสยังถือว่าไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
จึงทำให้มีสถานที่อยู่มากที่เปิดทำการมานานแล้ว
ปัจจุบันถึงแม้จะ
ถูกกำจัดไปเกือบหมดสิ้นแต่ก็มีบางแห่งที่สร้างอยู่
ใต้ดินหรือได้รับการคุ้มครองจากพวกขุนนาง
ดังนั้นตำแหน่งพวกนี้
อาจจะเป็นสถานที่ผิดกฎหมายสุดท้ายในราชอาณาจักร
"งั้นเรนเนอร์ถ้ากฎหมายทำอะไรพวกนี้ไม่ได้
ทำไมเราไม่เปิดโปงกิจการหรือเรื่องผิดกฎหมาย
ของพวกมันละ เพียง
แค่เราต้องการหลักฐานเท่านั้น ถ้าตำแหน่งพวก
นี้เป็นถูกต้อง เราก็แค่บุกโจมตีไปเลย
แบบนี้จะเป็นการสอนบทเรียน
ให้พวกขุนนางแน่"
"มันก็อาจจะจริง แต่ว่าลาเกียส ถ้าทำแบบนั้นครอบ
ครัวเธอไม่สิตระกูลของเธอลำบากแน่จะให้สมาชิก
บลูโรสคนอื่นๆ
ทำก็คงเกิดผลลัพธ์แบบเดียวกัน ถ้าจะไคลม์บุก
ไปคนเดียว ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยสิ..."
"ดูท่าองครักษ์เธอจะเสียใจอย่างมากที่ขาดความ
แข็งแกร่งแล้ว"
ขณะที่เธอเห็นไคลม์กำลังก้มตัวขอโทษ
เรนเนอร์เอื้อมมือไปจับมือไคลม์และยิ้มให้
"ยกโทษให้ด้วยไคลม์ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น
มันเป็นแหล่งกบดานแหล่งเดียวในเมือง
หลวงดังนั้นไม่มีใคร
สามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก
ฉันรู้ว่าเธอพยายามเพื่อฉันขนาดไหน
ดังนั้นอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง
อันตรายเด็ดขาดนะ นี้ไม่ใช่คำขอแต่เป็นคำสั่งเข้าใจ
ไหม ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอละ..."
ลาเกียสที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างถึงแม้เธอจะเป็นผู้หญิงก็
แทบซึ้งไปกับการปลอบใจนี้ แล้วไคลม์ละ? เธอคิด
เขาพยายามไม่แสดงสีหน้าใดๆเป็นพิเศษ
แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ แก้มที่เป็นสีแดงพูดแทนให้แล้ว
เป็นภาพที่เหมาะแก่คำว่า"เจ้าหญิงกับอัศวินของเธอ
" อย่างสุดๆ แต่จู่ๆลาเกียสก็เริ่มกลัว
เอะ!แบบนี้มันยังกับเตี๊ยมไว้แล้วเลย ไม่สิถ้าเป็นเรน
เนอร์ละก็เป็นไปได้แน่ๆ มีโอกาสเป็นไปได้มากด้วยสิ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเธอก็คงเป็นคนที่ยากจะ
จินตนาการได้เลย
ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย!? ทำไมฉันต้องสงสัยเพื่อนที่ดีของ
ฉัน? แถมเธอก็คงไม่ใช่คนที่จะมามัววางแผนอะไรแบบ
นี้หรอก ถ้าฉันจะไม่ไว้ใจแม้แต่เพื่อนของฉัน
คนที่ได้ชื่อว่า "เจ้าหญิงทองคำ" ผู้รักษาความยุติธรรม
ก็คงไว้ใจใครไม่ได้แล้วหละ
ลากิอัสส่ายหัวและเปลี่ยนเรื่องสนทนาจะ
ได้ปัดเป่าความคิดนั้นสะ
"อ่าใช่จากการสืบสวนของทิน่าเราพบรายชื่อ
ผู้นำหลายคนในธุรกิจการค้าทาสและยังได้รู้ว่า
คนพวกนี้ได้รับการ
สนับสนุนจากขุนนางที่ชื่อค็อกโค ดอว์ แต่เรายัง
ไม่มีหลักฐานมายืนยันความผิดเขาตอนนี้
คิดว่าตอนนี้คงต้อง
ปล่อยไปก่อน"
เรนเนอร์กับไคลม์มีปฎิกริยาตอบสนองต่อชื่อนั้น
"ลูกสาวผู้ชายคนนั้นเป๋็นสาวใช้ส่วนตัวของฉันเอง"
"งั้นเหรอ เป็นไปได้ว่าเธอถูกส่งมาสอดแนมและเฝ้า
ระวังคุณ หรือบางทีอาจจะแค่พยายามยกระดับตัวเอง
เฉยๆอันนี้ก็คงยังยืืนยันไม่ได้เหมือนกัน"
"อืม เราคงต้องตรวจสอบข้อมูลที่แน่นอนกันก่อน
ไคลม์เธอเก็บไว้เป็นความลับด้วยนะ"
"ส่วนเรื่องตำแหน่งจากรหัสลับที่เราเพิ่งแก้กันได้
เรนเนอร์ขอยืมไคลม์ได้รึเปล่า ฉันอยากให้เขาส่งข่าวถึง
Gagaranแล้วก็คนอื่นๆ เพื่อกรณีฉุกเฉิน"
Part 2
เดือน 9 วันที่ 3 เวลา 09.49
ไคลม์เดินไปตามถนนหลักเมืองหลวง
เขาปะปนกับฝูงชนได้เป็นอย่างดีเนื่องจากเขาตอนนี้ดู
ไม่แตกต่างจากฝูงชนเลย
เขาไม่ได้ใส่เกราะสีขาวที่โดดเด่นเอาไว้
ถึงแม้มันจะคุณสมบัติเปลี่ยนสีได้ก็ตาม
แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องใส่เกราะเต็มยศเดินตามถนน
เป็นผลให้เขาใส่แค่เกราะโซ่ใต้เสื้อเชิ้ตของเขา
มีเพียงแค่ดาบข้างลำตัวที่แตกต่างจากพลเมืองทั่วไป
เขาดูเหมือนทหารลาดตระเวน ไม่ก็
ทหารยามรับจ้างตามเมือง ทำให้การสัญจรทำได้สะดวก
ต่างจากคนที่ใส่เกราะหนักภายในเมือง
คนที่ใส่ชุดเกราะเต็มยศพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นนักผจญภัย
ไม่มีใครใส่เพื่อป้องกันเท่าไร แต่เพื่อประชาสัมพันธ์
การแต่งตัวให้สะดุดตาคนอื่นไม่ใช่เรื่องแปลก
สำหรับนักผจญภัย บางคนชอบแต่งแบบมีแฟชั่น
ไม่ซ้ำใครเพื่อ
สร้างความประทับใจให้กับคนอื่นเพื่อเป็น
การสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง เรียกได้ว่าการแต่งกาย
แปลกๆ
เป็นเครื่องหมายการค้าของนักผจญภัยเลย
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับนักผจญ
ภัยระดับสูงอย่างสมาชิกทีมของบลูโรส ที่ไคลม์กำลังจะ
ไปหา ในระดับพวกเขาเพียงแค่เดินไปตามถนนก็เพียง
พอจะทำให้ทุกคนเกิดหัวข้อสนทนากันแล้ว
ไคลม์เปิดประตูเข้าไปในโรงแรมโดยไม่ได้ใส่ใจกับ
ยามทั้งสองฝั่งหน้าประตู
มีบาร์เครื่องดื่มและเต็มไปด้วยโต๊ะรับประทาน
อาหารอย่างหรูหราทั้งชั้น ต่างจากจำนวนคน
ที่มีจำนวนน้อยยิ่งนัก
แสดงให้เห็นถึงความหายากของเหล่านักผจญภัยระดับสูง
เสียงที่ดังภายในโรงแรมเงียบสงบชั่วครู่ขณะ
ที่หลายๆคนมองมาที่ไคลม์ เขาไม่ได้ใส่ใจและ
พยายามมองไปรอบๆ
คนส่วนใหญ่ในนี้เป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่ง
ทุกคนในที่นี้สามารถเอาชนะไคลม์ได้อย่างง่ายดาย
ทุกครั้งที่มาที่นี้
ทำไคลม์รู้ว่าเขาอ่อนแอขนาดไหน
เขาพยายามต่อต้านความสิ้นหวังในตัวและจดจ่อ
ไปกับการมองหาในโรงแรม
ด้านหน้าของเขา -ภายในบริเวณลึกสุดในโรงแรม-
มีโต๊ะกลม เขามองไปที่สองคนที่นั่งอยู่
หนึ่งในนั้นมีคนตัวเล็กที่ใส่เสื้อคลุมสีดำยาว
จนปกคลุมทั้งร่างกาย
ใบหน้าของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้
ไม่ใช่เพราะแสงสว่างไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะพวกเขา
สวมหน้ากากรูปแบบแปลก ๆ คล้ายหินปูนมีรอยแตก
แคบ ๆ วิ่งไปตามระดับสายตา
แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยสีตาภายใน
ส่วนอีกคนนึง
ถ้าคนแรกเป็นคนแคระคนนี้ก็คงเป็นยักษ์
การได้เห็นก็ทำให้รู้สึกถึงคำว่าก้อนหินเข้ามา
ในสมองแล้ว ใช่แล้ว
บุคคลนี้มีความล่ำและร่างใหญ่ ที่ไม่ได้เกิด
จากความอ้วนแม้แต่น้อย
ส่วนแขนทำให้รู้สึกถึงไม้แปรรูปขนาดใหญ่
ศรีษะมีรูปทรงเป็นสีเหลี่ยม มีคางขนาดใหญ่ที่ตอนนี้
ปิดปากอยู่
ดวงตาคล้ายกับสัตว์ตัวนึงที่กินเนื้อเป็นอาหาร
มีผมสีบลอนด์ที่ถูกตัดให้สั้นสำหรับการต่อสู้
หน้าอกคน คนนั้นพอง
อยู่ใต้เสื้อผ้าแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็ง
แกร่งจนดูไม่มีความอ่อนแอของผู้หญิงให้เห็น
ทีมนักผจญภัยระดับอาดามันไทท์ซึ่งประกอบ
ไปด้วยผู้หญิงเท่านั้น บลูโรส
ทั้งสองคนเป็นสมาชิกของบลูโรสคนแรกคือ
ผู้ใช้มนต์ดำEvileye ส่วนอีกคนคือนักรบGagaran
ไคลม์เข้าไปหาพวกเขา หนึ่งในนั้นส่งเสียงเรียก
ออกมาอย่างนุ่มนวล
"โย่ว เจ้าหนุ่มน้อย"
สายตาทั้งหลายมองมาที่ไคลม์อีกครั้งแต่ก็ไม่มี
ใครแสดงความเย้ยหยันออกมา
พวกเขาก็หันกลับไปอย่างช้าๆ
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นนักมิทริลหรือโอริฮัลคอน
การแสดงความไม่สุภาพต่อแขกของ
Gagaranนั้นไม่ใช่ความกล้าหาญแต่เป็นความโง่เขลา
ไคลม์ลบคำดูถูกและเดินเข้าไปหาอย่างหนักแน่น
ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ไคลม์ขอ กากาแรนก็ปฎิเสธที่
จะเรียกชื่อของเขา ไคลม์เลยทำได้แค่
ยอมแพ้และพยายามไม่ใส่ใจ
"ยินดีที่ได้พบครับ ท่า-คุณกากาแรน ท่านอีวิลอาย
ไคลม์เดินมาถึงและโค้งคำนับให้ทั้งคู่
"นี้ก็นานแล้วนะ อะไรอยากนอนกับฉันรึไง?"
กากาแรนยกคางขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาควรจะนั้ง
โดยมีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมอยู่บนใบหน้าของเธอ
ไคลม์เลยยอมนั้งแต่โดยดี
กากาแรนพูดแบบนี้ทุกครั้งที่เจอไคลม์จนเสมือนเป็น
คำทักทาย ถึงแม้ว่าเธอจะแค่ล้อเล่น
แต่ถ้าไคลม์เกิดตอบ"โอเค"
ขึ้นมา เธอก็พร้อมลากไคลม์ขึ้นไปห้องส่วนตัวชั้น
สองทันที แถมไคลม์ก็คงไม่สามารถขัดขืนได้
กากาแรนผู้ชื่นชมตัวเองว่าเป็น เชอรี่เค้ก เป็นคนดังกล่าว
ตรงกันข้ามกับอีวิลอายที่ตอนนี้กำลังมองมาที่
ไคลม์แบบไม่ขยับเขยื้อนบางทีเธอกำลัง
ตรวจสอบจุดประสงค์การ
มาของไคลม์ แต่ไคลม์ก็ไม่ใจสาเหตุ
ที่เธอมองมาเหมือนกัน
"ไม่ๆ ไม่ใช่อย่างงั้น ท่านอินดราส่งฉันมา"
"ฮืม หัวหน้าหรอ?"
"ครับ เธอฝากข้อความด้วยว่าอาจจะมี
เหตุฉุกเฉินรายละเอียดอื่นๆจะอธิบายเมื้อมาถึง
อย่างไรก็ตามท่านอินดรา
อยากให้คุณทั้งสองที่จะเตรียมพร้อมไว้"
"เข้าใจแล้ว แต่ดูถ้าเธอจะมีปัญหานอก
จากเรื่องเล็กๆแค่นี้นะ"
กากาแรนยิ้มกว้างๆให้ ไคลม์นึกขึ้นได้ว่าเขายังมี
เรื่องอื่นจะบอกเธอ
"วันนี้ผมได้ซ้อมรบกับท่านสโตนอฟ
ท่าที่คุณสอนให้ -ตัดอสูร- ท่านสโตนอฟก็เห็น
ว่าเป็นท่าที่ไม่เลวเลย"
กากาแรนเคยสอนไคลม์ในลานฝึกด้านหลังโรงแรม
ใบหน้าของเธอแตกยิ้มที่ได้รับการยกย่อง
"โอ้ ท่านั้นเหรอ ฮาๆ ไม่เลวเลย แต่ว่ามันก็ยัง.."
"ครับ ผมจะไม่พอใจเพียงแค่นั้น ผมยังคงต้อง
ฝึกฝนเพื่อทำให้มันสมบูรณ์"
"ถูกเธอต้องฝึกซ้อมอยู่เสมอ แล้วก็เธอควรคิด
ถึงถ้าการโจมตีนั้นถูกโต้กลับก็คิดการ
โจมตีต่อจากนั้นเข้าไปด้วย"
ไม่รู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเป็นความ
คิดของชนชั้นนักรบ สิ่งที่กากาแรนเพิ่งกล่าว
เหมือนกับที่กาเซฟเคย
พูดกับไคลม์ไว้ ไคลม์เริ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจ แต่
ดูเหมือนกากาแรนจะอ่านปฎิกิริยาของเขาผิดและหัวเราะ
"แน่นอนการโจมตีที่ฉันสอนมันเหมือนกับท่าเผด็จศึก
จังหวะอื่นก็แทบไม่มีความหมายเลย"
เธอก็ยังคงพูดต่อ"ในความจริง เธอยังต้องเลือก
หาการโจมตีที่มีอยู่มากมายบนโลก อย่างไรก็ตามเธอยังทำไม่ได้"
คำพูดของกากาแรนบ่งบอกว่าไคลม์ยังขาดความสามารถ
"ดังนั้นเธอยังจำเป็นต้องพัฒนาวิธีการโจมตีอย่างน้อย
สามครั้งรวมกัน การโจมตีต่อเนื่องต้องทำให้ถึงแม้ศัตรูจะ
สวนกลับท่านึงได้ก็ต้องทำให้โจมตีกลับไปอีก
ทีได้เพื่อเอาชนะ"
ไคลม์พยักหน้า
"แน่นอนถึงแม้จะใช้ไม่ได้กับมอนเตอร์ที่มีมากมาย
แต่สำหรับมนุษย์มันก็เพียงพอที่เธอจะฝึกเอาไว้ และเมื้อ
อยู่ในการต่อสู้ก็จะเริ่มเห็นรูปแบบการโจมตีของศัตรู
เธอควรมีความพร้อมที่จะสามารถกระหน้ำการโจมตีได้"
"เข้าใจแล้วครับ"ไคลม์พยักหน้าอย่างจริงจัง
ในตอนเช้าที่เขาฝึกกับกาเซฟเขาโจมตีกาเซฟ
ได้ครั้งเดียวเท่านั้น กาเซฟสามารถมองเห็นการ
โจมตีของไคลม์และสวนกลับได้หมด
แล้วเขาจะสูญเสียความมั่นใจงั้นเหรอ ? ไม่มีวัน
เขาจะปล่อยตัวเองให้อยู่ในความสิ้นหวังได้เหรอ ?
ไม่มีวัน
มันตรงกันข้าม
คนสามัญธรรมดาอย่างไคลม์เองสามารถเข้า
ใกล้ยอดนักรบที่เก่งที่สุดในอาณาจักรได้
ถึงแม้ไคลม์จะรู้ว่ากาเซฟ
ยังไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริง แต่สำหรับไคลม์
ผู้ซึ่งเดินในความมืดโดยไม่มีแสงสว่างนำทาง
ทำให้เขารู้ว่ายัง
พัฒนาได้อีกมาก มันเป็นแรงสนับสนุนให้กับเขา
มันเหมือนกับการบอกว่าความพยายาม
ของเขาไม่เปล่าประโยชน์
เขายังไม่มั่นใจว่าจะทำการโจมตีออกมาได้สมบูรณ์
แต่เขาก็พร้อมพยายาม เปลวไฟสว่างไสวอยู่ใน
ใจของเขา
ไคลม์ตั้งใจที่จะแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้นสำหรับการ
ได้สู้กับหัวหน้านักรบกาเซฟอีกครั้ง
"...อ่าใช่ เธอเคยถามอีวิลอายอะไรสักอย่างใช่ไหม
เกี่ยวกับการเรียนรู้เวทมนต์?"
"ครับ"
ไคลม์เฝ้ามองอีวิลอาย ในตอนนี้เธอได้หัวเราะ
ให้กับไคลม์ราวกับให้ลืมเรื่องนี้ไปสะ
ถ้าถามเธอไปอีกครั้ง
ก็คงได้คำตอบแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม-
"เด็ก"
เสียงของเธอค่อนข้างแปลก ถึงแม้จะใส่หน้ากากอยู่
อย่างไรก็็ตามไม่สามารถบอกอายุหรือ
ความรู้สึกใดๆของอีวิลอายส์ได้เลย สิ่งที่พอสรุป
ได้คือเธอเป็นผู้หญิง มันเป็นเสียงที่ราวกับ
เด็กสาวและวัยสาวในเวลาเดียวกัน
นั่นอาจเป็นเพราะหน้ากากของอีวิลอายมีเวทมนต์
แต่ทำไมเธอต้องปิดบังเสียงของเธอ?
"เธอไม่มีพรสวรรค์ พยายามหนักกับอย่างอื่นสะ"
เธอไม่ให้โอกาสไคลม์ตอบกลับใดๆ
ราวกับมันไม่มีอะไรจะต้องพูด
ไคลม์รู้ความหมายของเธอเป็นอย่างดี
ไคลม์ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนต์แต่นั้นก็
ไม่ใช่ทั้งหมด
ไม่ว่าเขาฝึกฝนการดาบของเขากี่ครั้งจนเลือด
ออกและพองไปทั้งมืดเขาก็ไม่สามารถเข้าถึงระดับ
ที่เขาต้อง
การได้ กำแพงแห่งพรสวรรค์เป็นเหมือนอุปสรรค์
ที่ไคลม์ต้องประสบ
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ยอมแพ้ในการพยายามหนัก
เกินขีดจำกัด ตั้งแต่ไคลม์รู้ว่าเขา
ไม่มีพรสวรรค์เขาก็พยายาม
อย่างหนักเพื่อที่จะปรับปรุงเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ได้
"เธอดูไม่ค่อยมีความสุขกับเรื่องนี้เลย"
เมื่อรับรู้ความรู้สึกภายใต้หน้ากากเหล็กของไคลม์(จิตใจ)
อีวิลอายยังคงพูดต่อ
"พรสวรรค์คือความสามารถที่มีมาตั้งแต่กำเนิด...
บางคนบอกว่าพรสวรรค์เป็นดั่งดอกตูมที่ยังไม่บาน
และทุกคน
ล้วนมีพรสวรรค์...ฮึ สำหรับฉันแล้วมันเป็นความคิด
สำหรับพวกใฝ่ฝันมันสิ่งที่คนโง่ไว้ปลอบตัวเองล้วนๆ
แม้แต่ผู้นำของเหล่าวีรชนทั้งสิบสามก็เป็นแบบเดียวกัน"
ผู้นำของเหล่าวีรชนทั้งสิบสาม ตามตำนานว่ากัน
ว่าเขาเป็นคนที่อ่อนแอกว่าคนอื่นอย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงแกว่ง
ดาบแม้ว่าจะบาดเจ็บแค่ไหนจนทำให้เขา
เป็นวีรบรุษที่แข็งแกร่งกว่าผู้อื่น
เขาเป็นคนที่เติบโตได้ไม่มีขีดจำกัด
"เขามีพรสวรรค์ แค่มันพริดอกช้า มันแตกต่างจาก
กรณีของเธอ เธอได้พยายามอย่างหนัก
แต่นั่นคือพรสวรรค์ทั้งหมด
ที่เธอได้แสดงให้เห็นแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะมี
พรสวรรค์ความแตกต่างมันชัดเจนอยู่
แล้วระหว่างมีกับไม่มี
เพราะฉะนั้น ... ฉันจะไม่บอกให้เลิก
แต่เธอควรจะรู้ข้อจำกัดของตัวเองเอาไว้ "
บรรยากาศเงียบสนิทเกิดขึ้น ก่อนที่อีวิลอาย
จะทำลายมันอีกครั้ง
"กาเซฟ สโตนอฟ...เขาเป็นตัวอย่างที่ดีเลย
คนอย่างเขาควรเรียกว่ามีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
ไคลม์เธอคิดว่า
เธอสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างคุณสอง
คนด้วยความพยายามได้หรอ"
ไคลม์ไม่สามารถพูดใดๆได้ การฝึกซ้อมของเขาใน
ครั้งนั้นทำให้ไคลม์รู้ว่าเขายังไม่ได้เข้าใกล้
ส่วนลึกของกาเซฟแม้แต่น้อย
"เอาละ บางทีมันอาจจะยังไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีเท่าไร
คนที่ฉันพอนึกได้ที่จะเอาไปเทียบ
กับเหล่าสิบสามวีรชนก็คงเป็น
กากาแรนคนนี้เลย แต่เธอก็ยังเอาชนะกาเซฟไม่ได้นะ"
"เฮ้อย่าเอาฉันไปเทียบกับกาเซฟสิ
กาเซฟเป็นดั่งมนุษย์เดินดินที่เป็นวีรชนเลยนะ"
"ฮืม เธอก็เป็นวีรชนเหมือนกันนะ...ถึงแม้จะเป็นผู้
หญิงที่น่ากำกวมอยู่ก็ตาม.."
ทันทีที่อีวิลอายพูดจบกากาแรนหัวเราะและตอบกลับ
"โอย โอย อีวิลอาย พวกวีรชนที่พูดถึงเป็นดั่ง
สัตว์ประหลาดที่มีความสามารถเฉพาะ
ตัวที่เหนือกว่าขอบเขตของมนุษย์ใช่มั้ย"
"...ฉันไม่ปฎิเสธอย่างนั้น"
"แล้วฉันก็เป็นมนุษย์ เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่
สามารถเข้าถึงขอบเขตแห่งวีรบุรุษได้"
"ถึงกระนั้นเธอก็ยังมีพรสวรรค์ ไม่ใช่คนไร้
พรสวรรค์แบบไคลม์ ไคลม์เธอก็ควรเลิก
ยึดติดกับการพยายามที่จะไคว้ขว้าดวงดาวได้แล้ว"
ตัวไคลม์เองรู้ดีกว่าใคร ว่าเขานั้นไม่มีพรสวรรค์
แต่การได้ฟังเธอพูดซ้ำๆว่าเธอไม่มีพรสวรรค์
เธอไร้พรสวรรค์ทำให้ไคลม์รู้สึกท้อมาก
แต่นั้นก็ยังไม่ทำให้ไคลม์เปลี่ยนจุดหมายของเขาได้
-ร่างกายนี้ดำรงอยู่เพื่อองค์หญิงเท่านั้น ฉันจะ-
บางทีเธอรู้สึกถึงความทรมาณในใจของไคลม์
ในตอนท้ายอีวิลอายเลยเย้ยหยันภายใต้หน้ากากออกมา
"...สรุปเธอยังจะไม่ยอมแพ้ หลังจากที่ฉัน
กล่าวทั้งหมดนี้ใช่ไหม"
"ครับ"
"ความโง่เขลา โง่เขลาอย่างที่สุด"
เธอส่ายหัวอย่างรุนแรง ไปกับการไม่เข้าใจ
"ก้าวไปข้างหน้าโดยยึดติดกำความฝันที่เป็น
ไปไม่ได้จะทำให้คุณต้องถูกทำลายรู้ใช่ไหม?
งั้นฉันจะบอกอีกครั้ง
เธอควรรู้ขีดจำกัดของตัวเอง"
"เข้าใจแล้วครับ"
"เธออาจจะเข้าใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเลยใช่ไหม?
คำว่าโง่เขลายังไม่พอทีจะอธิบายคนอย่างคุณเลย
เธอมันเป็นพวก
ที่ตายในเร็วๆนี้และทำให้ใครบางคนก็ต้องร้องไห้
เพื่อเธอ ฉันพูดถูกใช่ไหม?
"นี้คืออะไรอีวิลอายเธอข่มขู่ไคลม์หรอ
เพราะเธอเป็นห่วงเขาใช่ไหม?"
อีวิลอายขยับไหล่ของเธอช้าๆขณะที่ได้ยิน
กากาแรนพูด จากนั้นเธอก็ขว้าคอเสื้อกากาแรน
และตะโกนใส่
"จะหุบปากไหม ยัยชายกล้าม ยัยไร้สมอง"
"เฮ้ ฉันพูดถูกใช่ไหม ใช่ไหม?"
กากาแรนพอใจที่อีวิลอายเป็นแบบนั้นแล้ว
เธอจึงไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ส่วนอีวิลอายถึงกั
เเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะ
กลับไปนั้งที่เก้าอี้ของเธอ
จากนั้นเธอก็กลับเข้าสู่หัวข้อเดิม
"เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนต์
เข้าใจถึงเวทมนต์เพียงนิดก็จะทำให้เข้าใจต่อได้
มากขึ้น จากนั้นเธอก็จะ
เข้าใจถึงผลของเวทมนต์มากมายที่สามารถส่งผลต่อ
ศัตรู เธอก็จะสามารถเลือกเวทมนตร์ที่ถูกต้องได้ถ้าทำ
แบบนี้"
"ให้เรียนเวทย์ทั้งหมดเลย มันไม่เยอะไปสำหรับเขาหรอ?"
"แน่นอนว่าไม่ ยังมีเวทมนตร์อีกมากที่เมจิคแคสเตอร์
ก็ยังใช้ไม่ได้ ให้เพียงมุ่งเน้นไปที่เวทย์ที่ใช้กันทั่วไปก่อน
ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ก็ควรยอมแพ้สะจะดีกว่า"อีวิลอายพึมพำ
"แถมแค่ขั้น3ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว ดู
ไม่น่ามีปัญหาอะไร"
"...มีเรื่องจะพูดพอดีอีวิลอาย เราทุกคนรู้
ว่าเวทมนตร์ขั้นสูงสุดคือระดับ10ใช่ไหม
แต่ทำไมยังไม่มีใครสามารถใช้
เวทย์ระดับสูงได้เลย เธอรู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร"
"อืม.."
หน้ากากของอีวิลอายเริ่มคดเคี้ยวเลื่อยไปทั่วผ้า
คลุมของเธอ ไคลม์รู้สึกได้ว่าเสียงรอบตัวพวกเขา
เหมือนอยู่ห่าง
ออกไปไกล มันยากจะอธิบาย แต่มันรู้สึกราวกับมีฟิลม์
บางๆล้อมรอบพวกเขา
"อย่าตกใจๆ แค่ใช้ไอเท็มไร้สาระนิดหน่อยหนะ"
ไคลม์ไม่รู้ถึงความกังวลของอีวิลอายที่ทำให้ต้องเปิด
ใช้ไอเท็มเหล่านี้แต่เขาก็รู้ว่าอีวิลอายตั้งใจจะตอบ
คำถามของกากาแรนอย่างจริงจัง
"ในตำนานโบราณ มีการกล่าวถึงตัวตนที่เรียกว่าแปด
จักรพรรดิแห่งความโลภพวกเขาเป็นที่รู้จักในนาม
ของผู้ที่ขโมยพลังแห่งพระเจ้าและผู้ที่ปกครองโลกด้วยพลัง
อำนาจที่แท้จริง "
ไคลม์เคยได้ยินเรื่องราวของแปดกษัตริย์โลภมาก่อน
แต่มันไม่มีชื่อเสียงมากนักเนื่องจากมันเป็นนิทาน
สำหรับเด็กๆมีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้จักเรื่องนี้
โดยรวม ตัวตนที่ถูกเรียกว่าแปดจักรพรรดิแห่งความโลภปรากฎ
ตัวขึ้นเมื้อ500ปีก่อน บางคนบอกว่าพวกเขาเป็นเทพเจ้า
บางคนบอกว่าพวกเขามีลักษณะคล้ายมังกร
ไม่ว่าจะยังไง แปดกษัตริย์โลภได้ทำลายประเทศและ
ยึดครองโลกด้วยพลัง
พลังที่สามารถย้ายภูเขาหรือทะเลได้ อย่างไรก็ตาม
ความโลภที่ไม่สิ้นสุดทำให้พวกเขาเกิดฆ่าฟันกันเอง
และสุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็สูญสิ้น
เรื่องนี้ไม่ได้มีคนสนใจเพราะเหตุผลที่ชัดเจน
ด้วยความเวอร์ของเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
ทำให้มันเป็นแค่นิทานสำ
หรับเด็ก แม้แต่ไคลม์เองก็รู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้น
แต่ก็ยังมีกลุ่มนักผจญภัยที่เชื่อว่ามันเป็นความจริงอยู่บ้าง
หลักฐานมีแค่มีเมืองอันไกลโพ้นอยู่ในทะเลทราย
ทางใต้ ว่ากันว่าเป็นเมืองหลวงที่สร้างขึ้น
เมื่อจักรพรรดิทั้งแปดขึ้น
ครองทวีป
ขณะที่ไคลม์กำลังคิดไปเรื่อย อีวิลอายพูดต่อ
"เห็นได้ชัดว่า แปดกษัตริย์แห่งความโลภมีเวทมนตร์
ที่ทรงพลังมากและยังมีไอเท็มที่ทรงพลังที่สุดเรียกกันว่า
[คัมภีร์เวทไร้นาม]อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็เรียกกันแบบนี้
นี้คือคำตอบสำหรับทุกอย่าง"
"อ่า? มันเป็นหนังสือที่บันทึกเวทย์ระดับสูงไว้สินะ?"
"ถูกต้อง เล่ากันว่าแปดกษัตริย์แห่งความโลภได้บันทึก
เวทมนตร์อันทรงพลังทั้งหมดบนโลกไว้ในนั้นหมดแล้ว
นอกจากนี้ยังเล่ากันด้วยว่า ไม่ว่าเวทมนตร์ที่เพิ่ง
พัฒนาหรือคิดค้นใหม่ขึ้นมาก็อยู่ในหนังสือเล่มนั้น
ด้วยเช่นเดียวกัน"
ไคลม์รู้จักแปดกษัตริย์แห่งความโลภดีแต่ไม่รู้จัก
หนังสือเล่มนั้นมาก่อน ไคลม์คิดถึงความมีมูลค่า
ที่มากมายของมันแต่เขาก็คงเงียบและฟังต่อ
"พวกเรารู้ถึงการมีอยู่ของเวทย์ระดับนัั้นเพราะไอเท็มนั้น
แน่นอน มีคนจำนวนแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่รู้ว่ามัน
มีอยู่ไม่ได้มาจากแค่เรื่องเล่า"
ไคลม์กลืนน้ำลาย
"งั้น คุณจะออกตามหา [คัมภีร์เวทไร้นาม] สินะ"
ไคลม์ถามคำถามนี้เพราะรู้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่ม
นักผจญภัยชั้นยอด
อีวิลอายส่งเสียงทางจมูกราวกับจะบอกว่ามันเป็นเ
รื่องน่าขัน
"พวกเขาว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้ได้รับการปกป้อง
โดยเวทมนตร์อันทรงพลังและไม่มีใครสามารถ
แตะต้องมันได้
เว้นแต่ผู้เป็นเจ้าของที่ถูกต้อง เห็นได้ชัดว่ามันคุ้ม
ค่าเท่ากับโลกทั้งใบซึ่งเป็นคำใบ้ว่ามันจะอันตรายแค่ไหน
ฉันรู้ข้อจำกัดของตัวเองดี ดังนั้นฉันไม่ต้องการมันหรอก"
"หัวหน้าของพวกคุณผู้ได้รับหนึ่งในอาวุธของ
วีรชนทั้งสิบสามก็รู้สึกแบบเดียวกันงั้นเหรอ"
"...มันก็ยังมีสาเหตุอื่นอยู่อีกเหมือนกัน
ฉันแค่ได้ยินมาจากคนที่เห็นมันมาก่อนก็เลยยัง
ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก
เอาเป็นว่าเราเปลี่ยนหัวข้อสนทนากันดีกว่า
เธอเข้าใจทั้งหมดแล้วใช่ไหมกากาแรน?"
หลังจากนั้นอีวิลอายดูค่อนข้างสับสนซึ่ง
หายากสำหรับเธอมาก จากนั้นเธอก็พูดต่อ
"ไคลม์ อย่าละทิ้งความเป็นมนุษย์เพื่อแสวงหาพลังอำนาจนะ"
"ละทิ้งความเป็นมนุษย์...คุณหมายถึงคล้าย
เรื่องราวของเหล่าปีศาจหรอ"
"นั้นก็เป็นวิธีนึง นอกจากนี้ยังมีการกลายเป็นอันเดต
หรือกลายเป็นตัวจนแห่งพลังเวทย์"
"มนุษย์ปกติทำไม่ได้หรอก"
"นั้นก็เป็นความจริง...แต่ถ้าเธอกลายเป็นอันเดต
จิตใจเธอจะถูกบิดเบือนไปกับมัน
สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่เติมเต็ม
ความฝันที่หลงเหลือเท่านั้น
ร่างกายจะถูกเปลี่ยน
เป็นวิญญาญและนายจะกลายเป็น
สัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว"
เสียงภายใต้หน้ากากปกติจะไม่มีความรู้สึกออกมา
แต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ
กากาแรนเห็นว่า
อีวิลอายกำลังคิดถึงอะไรไกลออกไป เธอเลยจงใจ
พูดด้วยน้ำเสียงสดใสออกมา
"บางทีเจ้าหญิงคงสลบแน่ถ้าตืนขึ้นมา
และเห็นว่าไคลม์กลายเป็นอ็อคไปแล้ว"
"...แบบนั้นก็ด้วย คาถาอย่างเวทย์กลายพันธุ์จะ
ช่วยให้คุณเปลี่ยนสภาพเป็นสายพันธุ์อื่นไปเลย
ถ้าให้พูดตามจริง มันเป็นตัวเลือกที่ดีเหมื้อนกัน
สำหรับการปรับปรุงคุณลักษณะทางกาย
ภาพที่เธอขาดไป"
"ขอผ่านดีกว่าครับ"
"ถ้าเธอแค่ต้องการความแข็งแกร่งแล้วละก็
การเปลี่ยนสายพันธุ์ถือว่ามีประสิทธิภาพมาก.
โดยปกติมนุษย์แทบไม่มี
ความโดดเด่นใดๆในทางกายภาพเลยแต่
หากเปลี่ยนสายพันธ์ความสามารถและ
ทักษะต่างๆก็จะเห็นผลอย่าง
ชัดเจนเมื่อร่างกายมีคุณสมบัติทางกายภาพที่ดีขึ้น"
มันเป็นเรื่องที่ชัดเจน ระหว่างคู่ต่อสู้ที่มีทักษะ
เท่ากันคนที่มีคุณสมบัติทางกายภาพที่ดีกว่าย่อม
ได้เปรียบ
"ในความเป็นจริงมีหลายคนในเหล่าสิบสามวีรชนที่
ไม่ใช่มนุษย์ ถึงจะถูกเรียกว่าสิบสามวีรชน
แต่ที่จริงมีมากกว่านั้น
มีเพียงแค่สิบสามคนที่กลายดั่งบทเพลงเล่า
ขานสืบต่อกันมา การต่อสู้กับเทพปีศาจเป็นสิ่งที่
ข้ามพรมแดนเชื้อชาติ
และเผ่าพันธุ์แต่มีเหล่ากลุ่มศูนย์กลาง
ของมนุษย์ที่ไม่อยากให้เผ่าพันธุ์อื่นเปล่งปลั่ง
มากเกินไปในเรื่องราวนี้"
อีวิลอายดูคล้ายพูดทิ่มแทงกลุ่มคนนั้น
ก่อนที่จะกลับมาทำเสียงแบบเดิม
"กัปตันนักรบแอร์ไจแอ้นท์,จอมขวานไซโคลน
,ราชวงศ์เอลฟ์ผู้มีความสามารถพิเศษของ
เผ่าเอลฟ์โบราณและกลุ่ม
อัศวินดำผู้ครอบครองดาบทมิฬทั้งสี่
.หนึ่งในนั้นKilineyramคือสิ่งที่หัวหน้าเราครอบครองอยู่"
"สี่ดาบทมิฬงั้นเหรอ..."
อัศวินดำหนึ่งในสิบสามวีรชนผู้ครอบครองดาบ
ทมิฬทั้งสี่ Evil Sword Hyumilis
,Demon Blade Kilineyram,
Sword of Decay Crocdaba และ
sword Sfeiz หนึ่งในนั้นอยู่ในมือของลาเกียส
ผู้นำกลุ่มบลูโรส
"ดาบแห่งปีศาจKilineyramที่สร้างด้วยการกลั่น
กรองพลังแห่งความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดว่ากันว่าเป็น
เป็นดาบที่ยิ่งใหญ่
ที่สุดในบรรดาดาบทั้งสี่...ฉันมีคำถามถ้ามันปลด
ปล่อยพลังเต็มที่มันจะสามารถกลืนกินทั้งประเทศ
ด้วยพลังแห่งความมืดใช่ไหม?"
"คุณกำลังพูดถึงอะไร?" อีวิลอายถามด้วยน้ำเสียงสับสน
"ครั้งหนึ่งฉันได้ยินหัวหน้าเราพึมพำอยู่คนเดียว
เธอจับแขนขวาของเธอและพูดว่า'มีเพียงผู้รับใช้พระเจ้า
อย่างฉันเท่านั้นที่จะหยุดพลังปีศาจด้วยความตั้ง
ใจทั้งหมดของฉัน'อะไรแบบเนี่ย"
"ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลย ... "
อีวิลอาย เอียงศีรษะด้วยความประหลาดใจ
"ถ้าเธอเองบอกแบบนั้น
มันก็อาจจะเป็นเรื่องจริง."
"งั้นพลังความมืดของลาเกียสเกิดจากความ
คิดด้านมืดของเธอสินะ?"
"หะ?"
"ที่จริงฉันเพิ่งได้ยินเธอพึมพำอีกครั้งเธอ
ไม่ทันสังเกตฉันก็เลยตัดสินใจแอบฟังและท้ายที่สุดเธอ
ก็พูดว่า'ถ้าคุณ
ประมาทละก็ความมึดจะเข้าครอบครองร่างกายและ
ปลดปล่อยพลังด้านมืดของดาบแน่'เป็นน้ำเสียงที่ฟังดู
ไม่ค่อยดีเท่าไร"
"นี้มัน...อย่างไรก็ตามเราเองก็ควบคุมมันไม่ได้
ไอเท็มต้องสาปบางชิ้นสามารถควบคุมจิตใจของผู้
ใช้ได้...มัน
คงเป็นเรื่องร้ายแรงแน่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
กับลาเกียสแบบนั้น"
"ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังพยายามเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
แต่นี่มันก็เป็นเรื่องใหญ่ใช่ไหมละ? ดังนั้นตอนที่ฉัน
ถามเธอตรงๆเธอก็รู้สึกเขินขึ้นมาและก็บอกว่าไม่
ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้"
"หืม มันคงเป็นเรื่องน่าอายสำหรับนักบวชผู้ชำ
ละล้างคำสาปแต่กับตกเป็นเหยือคำสาปสะเอง
บางทีเธอแค่ไม่ต้อง
การให้เรากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ก็
เธอตั้งใจจะแบกภาระดังกล่าวด้วยตัวเอง?"
"ฉันไม่เห็นเธอทำอะไรแบบนั้นตั้งแต่นั้นมา...
แต่ลองคิดถึงเรื่องนี้ดูสิ เธอไม่ได้สวมแหวน
เวทมนต์ต่างๆตั้งแต่
ได้รับดาบปีศาจนั้นมา"
"ฉันคิดว่าเป็นแค่แฟชั่นสะอีก...
เธอหมายความว่ามันสามารถ
ปิดผนึกเวทมนตร์บางประเภทได้ด้วยสินะ"
ไคลม์เริ่มแกล้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่ได้และเริ่มขมวดคิ้ว
จากสิ่งที่เขาได้ยิน ลาเกียสอาจจะถูกควบคุมโดย
ไอเท็มวิเศษได้ทุกเมื้อ เขากังวลมากขึ้นและเริ่มคิด
ถึงที่ที่เขาควรอยู่.
"...องหญิงเรนเนอร์จะอยู่ในอันตรายรึเปล่า"
อีวิลอายหยุดไคลม์ก่อนที่เขาจะลุกออกไป
"ไม่ต้องกังวลอย่าทำให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเก่า
เธอรู้ตัวว่าถูกครอบงำดีและรู้ว่าความมืดต้องการ
ควบคุมเธอ
แต่เธอก็ไม่ได้บอกพวกเราไว้ นั้นหมายถึงเธอ
มั่นใจในการควบคุมตัวเองดีและฉันก็มั่นใจ
ได้ว่าคนอย่างเธอจะไม่
ถูกควบคุมง่ายๆแน่ ถึงแม้ว่าฉันจะเพิ่งรู้ว่าดาบ
นั้นมีพลังแบบนั้นมาก่อนก็เถอะ"
"เราควรคุยกับอาซูุทเพื่อความปลอดภัยดีไหม"
"ฉันไม่ชอบขอความช่วยเหลือศัตรูเท่าไหร่"
"งั้นเราไม่ควรทำอย่างงั้นใช่ไหม?แต่เราก็ยังต้อง
เฝ้าระวังเขาด้วยสินะ"
"อืม เราควรที่จะเตรียมพร้อมไปหาลาเกียส
ได้ตลอดเวลา"
"สุดท้าย ต่อให้เป็นนักผจญภัยระดับอาดามันไทท์
ก็อะไรไม่ได้อยู่ดี"
"-หืม? อ่าาาใช่! ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้กากาแรน
ฉันเพิ่งได้ยินมาว่ามีทีมนักผจญภัยที่สามของ
ระดับอาดามันไทท์ได้รับ
การแต่งตั้งที่อีรันเทล"
"หะ!"จริงหรอเนี่ย?" นี้เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉัน
ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอไปรู้ตอนที่เธอ
ไปสมาคมนักผจญภัยเมื้อเช้านี้ใช่ไหม?"
"ไม่...อ่าใช่ โทดทีฉันลืมเธอบอกไปเลย
ดูเหมือนทีมของพวกเขาจะเป็นสีดำ"
"สีดำ? ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นน้ำตาลไม่ก็เขียวหลัง
จากฟ้าและแดงนะ"
"สีดำคือสีของเหล่าเทพทั้งหกมันน่าจะไม่ใช่เรื่อง
แปลกอะไรนะ ใครจะรู้ต่อไปอาจจะเป็นสีขาว"
(เป็นเทพของศาสนาจักรสเลน)
"ศาสนาจักรสเลนหรอฉันไม่ค่อยชอบด้วยสิ
ที่จริงเราได้มีการต่อสู้กับหน่วยพิเศษของพวกเขาไป
แล้วครั้งนึงสินะ"
ไคลม์รู้สึกว่าเขาได้ฟังหัวข้อที่อันตรายมากๆ
แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขาขณะพูดคุย
"กากาแรนเธอเกลียดพวกเขาหรอ?...
ที่จริงพวกเขาก็พยายามฆ่าฉันไปครั้งนึงเหมือนกัน
แต่ฉันก็เข้าใจดีว่า
พวกเขาคิดอย่างไร ถ้าจะพูดก็คือ พวกเขา
สาบานตนที่จะปกป้องเผ่าพันธ์ุมนุษย์ ไม่คิดว่ามัน
ดูถูกต้องสำหรับมุมมองของมนุษย์หรอ"
"หา? จะบอกว่าการสังหารหมู่เผ่าอมนุษย์หรือเอลฟ์
ที่บริสุทธิ์ก็เพื่อเป้าหมายนั้นด้วยหรอ?"
ใบหน้าของกากาแรนดูโกรธจัดอย่างชัดเจน
อีวิลอายรู้สึกเบื่อหน่ายกับความโกรธนี้และยักไหล่
"มีประเทศที่อยู่รอบๆนี้เล็กน้อย อย่าง
จักรวรรดิบาฮารุสหรือศาสนาจักรสเลน
แต่เธอรู้ไหมกากาแรนไกลออกไป
มีเพียงประเทศเล็กๆเท่านั้นที่เป็นของมนุษย์
ทั้งหมดเต็มไปด้วยประเทศของเหล่าอมนุษย์หรือ
เผ่าพันธุ์ที่แข็ง
แกร่งยิ่งกว่า เธอรู้ไหมในกลุ่มพวกนั้นก็
ซื้อขายมนุษย์กันแบบทาส?ส่วนเหตุผลว่าทำ
ไมไม่มีประเทศเหล่านั้น
อยู่รอบๆก็เพราะว่าศาสนาจักรสเลนไล่กำจัดพวกนั้น
ที่อยู่รอบๆไปหมดสิ้น"
ความโกรธของกากาแรนเริ่มหายออกไปขณะได้
ยินคำพูดของอีวิลอายถึงกระนั้นเธอก็ขมวดคิ้ว
และตอบกลับ
"นั้นก็ดี อมนุษย์มีความสามารถทางร่างกาย
เหนือกว่ามนุษย์ ถ้าพวกเขารวมตัวกันและ
พัฒนาวัฒนธรรม
มนุษย์จะไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้
"ตามจริงแล้วมนุษย์ทุกคนควรให้ความสำคัญกับ
ศาสนาจักรเป็นอย่างมาก มันเป็นความจริงที่พวกเขา
เป็นคนไร้
ความปรานีซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่แม้กระนั้นก็ตาม
ไม่มีใครทำอะไรเพื่อมนุษย์ชาติได้มากกว่าพวกเขาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าพวกเขาเป็นคน
ก่อตั้งสมาคมนักผจญภัยด้วย"
"เอาจริงสิ?"
"ใครจะรู้? ไม่มีอะไรบอกว่ามันเป็นจริงหรือไม่
แต่หลังจากเรื่องราวทั้งหมดมันมีความเป็นไปได้สูงมาก
สมาคมนักผจญภัยก่อตั้งขึ้นหลังจากการต่อสู้กับ
เทพปีศาจในช่วงที่ความแข็งแกร่งของมนุษย์
ชาติลดลงอย่าง
มาก ฉันคิดว่าพวกเขาพยายามรักษาอำนาจ
ของมนุษย์และต้องการช่วยเหลือประเทศต่างๆ
โดยไม่ให้มีผล
ต่อองค์กรที่พวกเขาสร้างขึ้น"
ความเงียบปิดท้ายหลังจากจบบทสนทนา
ไคลม์รู้สึกอดไม่ได้เลยพูดออกมา
"ขออภัยสำหรับการขัดจังหวะ
ท่านอีวิลอายเกี่ยวกับนักผจญภัยที่ถูกจัดอันดับ
ให้เป็นอาดามันไทท์ คุณรู้จัก
ชื่อพวกเขาไหม"
"หืม?เรื่องที่ฉันพูดถึงไว้สินะ ฉันคิดว่าหนึ่งใน
พวกเขาถูกเรียกว่า...โมมอนเขาเป็นผู้นำกลุ่ม
ที่ถูกเรียกกันว่า
นักรบทมิฬพวกเขายังไม่ได้เลือกชื่อทีม
แต่ทุกคนส่วนใหญ่เรียกกันว่าดาร์คเนส"
"อือ แล้วสมาชิกคนอื่นละ"
"ฉันได้ยินว่าเขาจับคู่กับอีกคนนึงที่ถูกเรียกกันว่านาเบะ
เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ
องค์หญิงเลอโฉม"
"หะ? แค่สองคน?มันเกิดอะไรขึ้น? มันเป็นพวกโง่ที่มั่น
ใจในความสามารถหรอ...ไม่สิต้องเป็นเพราะ
ความสามารถที่
ทำให้พวกเขาอยู่ระดับอาดามันไทท์
พวกเขามีอาวุธลับอะไรงั้นเหรอ? ใช่ไหม?
มันเกิดอะไรขึ้น ที่ทำให้พวกเขามีชื่อขนาดนี้"
ไคลม์โน้มตัวฟังเช่นกัน นี้คือทีมนักผจญภัยที่
ได้ระดับอาดามันไทท์ พวกเขาต้องมีการผจญภัยที่
ยิ่งใหญ่เพียง
พอให้หัวใจของผู้คนต้องกระพือ
ไคลม์กำลังถูกเผาไหม้ด้วยความคาดหมายอย่างยิ่ง
"ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในสองเดือน...
ครั้งแรกพวกเขากำจัดอันเดดนับพันที่ปรากฎในอีรันเทล
จากนั้นก็กำจัด
เผ่าก็อบลินทางเหนือนอกจากนี้ยังค้นพบสมุนไพร
หายากที่รักษาได้ทุกโรค จัดการบาซิลิสค์ยักษ์นอกจากนี้
จัดการแวมไพร์ที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ"
[สมุนไพรในตำนานdramacdvol1]
[บาซิลิสค์จากdramacdvol2]
[หาอ่านไม่ได้คอมเม้นเลยดะส่งลิ้งให้หลังไมค์]
"บาซิลิสค์ยักษ์..."ไคลม์ทวนชื่อนี้อีกครั้งด้วยเสียงหอบๆ
มันเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่มีความยาวเกือบ
สิบเมตรคล้ายกับจิ้งจกและงู และยังมีสกิลpetrifying
ที่แค่เพียงจ้องมองก็ทำให้ไม่สามารถโจมตีได้
อีกทั้งร่างกายก็เต็มไปด้วยของเหลวที่เป็นพิษที่
ส่งผลให้ตายทันที
ผิวของมันเหนียวและหนาดั่งแร่มิทริล
มันเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ดังนั้นการเอา
ชนะมอนสเตอร์แบบนี้-มอนเตอร์
ที่ทำลายทั้งเมืองได้-เป็นเหตุผลที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
สำหรับการได้รับการับตำแหน่งอาดามันไทท์
อย่างไรก็ตามมีปัญหาหนึ่งคือ -
"นั้นมัน น่าอัศจรรย์ถึงกระนั้นพวกเขาทำมันจริงๆ
แค่สองคนเท่านั้น?เป็นไปไม่ได้ที่นักรบกับ
ผู้ใช้เวทมนตร์เพียง
แค่สองคนจะเอาชนะบาซิลิสค์ได้ จริงไหม?
มันดูเป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน"
เป็นไปตามนั้นมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เลยที่จะทำเพียงแค่สองคน โดยเฉพาะยิ่งเป็นนักรบกับ
นักเวทย์
พวกเขาจะรักษาตัวเองได้อย่างไร?พวกเขา
จะต้านทานสกิลจ้องมองของมันได้อย่างไร?นี้ยังไม่รวม
ร่างกายที่เป็นพิษและการโจมตีพิเศษอื่นๆอีก
"อ่า! โทษที ฉันยังยืนยันไม่ได้ว่าพวกเขาทำมันแค่
สองคนเหมือนกัน เพราะนอกจากนี้ฉันยังได้ยินมาว่า
พวกเขาสยบราชาปราชญ์แห่งพงไพร
และบังคับให้มันมาเป็นลูกน้องด้วย"
"...ราชาปราชญ์แห่งพงไพร?เจ้าสัตว์ป่าดุร้าย
นั้นนะเหรอ?
"ฉันไม่ทราบรายละเอียดเหมือนกัน
แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์เวทมนตร์ตัวเดียว
กันที่ยึดครองเขตป่าขนาดใหญ่
พวกพ้องของฉันเคย...ใช่ ฉันคิดว่าพวกเขาคง
ไม่ได้ไปเจอกับมันตอนไปป่าใหญ่เมื้อ200ปีที่แล้ว"
อีวิลอายยักไหล่ขณะพูดถึงตัวเลข200
จำนวนดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องสามัญธรรม
ดาสำหรับเอลฟ์ในป่า แต่สำหรับไคลม์เขา
คิดว่ามันคงเป็นเรื่องตลกอะไรแบบนั้น
"โอ้ว แล้วความน่าเชื่อถือของเรื่องพวกนี้ละ?
พวกเขาปรุงแต่งขึ้นดัดแปลงขึ้นมาสะเยอะใช่ไหม?
มันมักเป็นเช่นนั้นเสมอ บางครั้งเรื่องราวถูกพูด
เกินจริงเช่นซากศพที่ถูกตัดขาดจนนับจำนวนที่
แน่นอนไม่ได้
และนักผจญภัยก็อยากจะอวดและสร้างชื่อเสียง
ดังนั้นเรื่องราวส่วนใหญ่มักจบด้วยการตกแต่งสะมาก
ในทางตรงกันข้ามอีวิลอายชูนิ้วขึ้นและแกว่งไปมา
"แต่เรื่องพวกนี้ดันเป็นเรื่องจริงสะด้วย เหตุการณ์ที่
อีรันเทล ชายผู้โยนดาบขนาดใหญ่เข้าใส่อันเดตยักษ์
และยัง
ตัดผ่านฝูงอันเดตที่แข็งแกร่งนับพัน
เหตุการณ์เหล่านี้ถูกเล่ามาจากทหารผู้รอดชีวิต
ดังนั้นฉันคิดว่าไม่มีเหตุผล
ที่ทหารพวกนี้จะพูดเกินจริง นอกจากนี้พวกเขา
ยังเข้าไปจัดการผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้
ศพทั้งหลายได้ถูก
ตรวจสอบและยังพบมังกรกระดูกที่ถูกทำลายลงอีกด้วย"
กากาแรนไม่มีอะไรจะพูด ไคลม์จึงถามเธอ
"แม้แต่คุณเองก็คงมีปัญหาบ้างใช่ไหมครับ
คุณกากาแรน"
"ถ้ามันเป็นแค่ซอมบี้หรือโครงกระดูกไม่กี่พันก็ไม่เป็นไร
ฉันสามารถฝ่าพวกมันได้หรือแม้แต่มังกรกระดูกสองตัว
ก็น่าจะไหว แต่คงพูดไม่ได้กับผู้คุมอันเดตนับพัน
ฉันไม่มั่นใจว่าจะจัดการมันได้หากฉัน
ไม่รู้ความสามารถของเขา"
"อาจเป็นความคิดที่ไม่เป็นทางการเท่าไร
แต่ฉันคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้เป็น
คนของซูรานอน"
(เป็นกลุ่มลัทธิแห่งความตาย)
"จริงหรอเนี่ยอีวิลอาย อ่า...ถ้าเป็นคนของกลุ่มนั้นก็
แทบไม่มีโอกาสเลย มันยากมากที่จะบุกลึกเข้าไปใน
เขตศัตรู
แค่พลาดเล็กๆน้อยๆก็ทำให้ได้รับพิษหรืออาจ
จะเป็นอัมพาตไปเลย งั้นทั้งสองรักษาตัวเองยังไง
ใช้ยา?อาจจะ?
ใครจะรู้บางทีโมมอนอาจจะใช้เวทย์ศักสิทธิ์
เหมือนหัวหน้าเราก็ได้ไม่ก็บางที
องค์หญิงเลอโฉมก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน"
"พวกเราก็คงยังสรุปไม่ได้" อีวิลอายพยักหน้าเห็นด้วย
"ยังไงก็ตาม บาซิลิสค์ยักษ์เนี่ย...ฉันคงทำอะไรมันไม่
ได้เลย ศัตรูแบบนี้มันยากเกินไปสำหรับนักรบสำหรับ
นักสู้ระยะประชิดทุกคนเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ฉันจะ
ต่อต้านเวทย์จ้องมองได้แต่มันก็คงเสี่ยงอย่างมาก
หากไม่มีคนสนับสนุน"
"ได้ยินแล้วใช่ไหมไคลม์ กากาแรนกล่าวว่าเธอ
ทำมันไม่ได้คนเดียว หรือก็คือมันจะขึ้นอยู่
กับผู้หญิงที่ชื่อนาเบะ
คนนั้น บางทีถ้าเธอได้จับคู่กับผู้หญิงคนนั้นเธอ
คิดว่าจะเอาชนะได้ไหม"
"อ่า มันคงง่ายถ้าเธอคนนั้นแข็งแกร่งเท่าคุณอีวิลอาย
ถ้าเป็นคุณ คุณสามารถรักษาระยะการโจมตีจากระยะไกล
โดยไม่ต้องเอาจริงกับการต่อสู้สินะครับ"
"เหมือนกับว่าฉันเก่ง ฉันคงต้องแสดงพลังจริงๆ
ของฉันให้ดูแล้วหละ"
"ถ้ามีนายอยู่ช่วย สิ่งที่ฉันพอจะสู้ไหวก็คงเป็น
แค่มังกรกระดูก...ไม่สิต้องอาศัยความแข็ง
แกร่งของนายด้วยซ้ำ
หรือถ้าฉันได้ไปอยู่กลุ่มโอริฮัลคอนมันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
ไคลม์พบว่าสิ่งนี้น่าแปลกใจมาก
อีวิลอายนั้นเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังจริงหรือไม่?
ตามปกตินักผจญภัยควรเป็นสมาชิกที่มีความสามารถ
เท่าเทียมกัน
เพื่อที่จะสามารถผจญภัยไปด้วยกันได้
เหตุใดพวกเขาถึงมีความแตกต่างมากขนาดนี้
"ผมคิดว่ามันคงเป็นเช่นนั้น ผมรู้ความแข็งแกร่งของคุณดี
คุณกากาแรน ผมมั่นใจว่าคุณจะไม่แพ้ให้กับคนเหล่านั้น"
"โอโย้~ เป็นคำชมอยากสูงเลยนี้ เอาละ' จะทำไหม?
"ขอปฎิเสธ"
"และนั้นก็เป็นเหตุผลที่ฉันเรียกเธอว่าหนุ่มน้อย
รู้ไหมมีคนกล่าวว่ามันถือเป็นความอัปยศนะสำหรับ
ผู้ชายที่ไม่กิน
ของที่อยู่ตรงหน้าเขา มันไม่มีเหตุผลที่ต้องเป็น
หนุ่มน้อยตลอดนี้น่า เธอจะทำไงถ้าได้อยู่กับผู้หญิงที่ชอบ?
ต้องให้เธอบอกว่า'มาทำกันบนเตียงกันเถอะ'แบบนี้หรอ
คงเข้าใจที่ฉันอธิบายใช่ไหม?"
กากาแรนไม่ได้รอให้ไคลม์ตอบกลับ
จากนั้นเธอก็ถอนหายใจด้วยเสียงดัง
"โอเคร โอเคร ฉันไม่บังคับเธอหรอก
ดังนั้นถ้าเธออยากทำมันขึ้นมาละก็แจ้ง
ให้ฉันทราบได้เลยนะ
แล้วก็ชื่อของ องค์หญิงเลอโฉม เนี่ยมันฟังดูน่า
อายมากเลยไม่ใช่หรอ เธอใช้ชื่อนี้จริงดิ?"
"ผมได้ยินมาว่าคนที่ชื่อนาเบะงดงามตามข่าวลือ"
ไคลม์รู้สึกว่าอีวิลอายมองมาที่เขา
ลางสังหรณ์ของเขาถูกต้องในช่วงเวลาต่อมา
"-เธอสวยเหมือนกับองค์หญิงทองคำของราชอาณาจักร"
กากาแรนกระพริบตาและมองมาที่ไคลม์เหมือน
กับว่าเขาเป็นเด็กเลว ไคลม์เข้าใจว่าเธอคิด
อะไรเลยพูดไว้ก่อน
"ความงามเทียบอยู่ในสายตาผู้อื่น
สำหรับผมไม่มีใครสวยกว่าองค์หญิงเรนเนอร์"
"อ่า นั้นก็จริง"
น้ำเสียงของเธอระบุอย่างชัดเจนว่าเป็น
ความละอายใจที่เข้าใจผิด
"ฮืม ฉันคิดว่าเราเสียเวลามากเกินไปสำหรับ
การคุยเล่นแล้ว ขอโทษด้วยที่ต้องมาฟังการพูด
พล่ามของพวกเรา
หลังจากนี้เราจะทำตามที่ลาเกียสกล่าว
และเตรียมพร้อมไว้"
อีวิลอายกับกากาแรนลุกขึ้น ไคลม์ก็เช่นกัน
"โทษทีไคลม์ ฉันอยากจะสนุกกับเธอ
แต่คงไม่มีเวลาแล้ว"
"ได้โปรดออย่ากังวลเรื่องนี้คุณกากาแรนขอบ
คุณสำหรับคำพูดครับแล้วก็ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ
ของท่านอีวิลอายด้วยนะครับ"
กากาแรนมองศึกษาไคลม์อย่างระมัดระวัง
และหัวเราะแบบเหน็ดเหนื่อยออกมา
"อืม เข้าใจแล้วละ ฝากหัวหน้าของพวกเราด้วย
หวังว่าจะได้เจอกันอีกครั้งนะหนุ่มน้อย...โอ้แล้วก็เธอ
ต้องสวม
ใส่อุปกรณ์เตรียมพร้อมไว้ทุกเมื้อนะ
.สิ่งที่อยู่บนเข็มขัดไม่ใช่อาวุธปกติใช่มั้ย?"
"ครับนี้เป็นอาวุธสำรอง"
"บางสิ่งบางอย่างอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื้่อ
เกราะเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกันและคุณก็ควรเก็บ
ดาบไว้ข้างเคียง มัน
เป็นหลักการพื้นฐานในการป้องกันตัวเอง
สำหรับนักผจญภัยโดยเฉพาะนักรบ
เธอยังมีไอเท็มที่ฉันให้ไปรึเปล่า? "
"กระดิ่งหรอครับ มันอยู่นี้ครับ"
ไคลม์ล่วงกระเป๋าที่เอวของเขาออกมา
"ดีมาก โปรดจำไว้ว่าเราเป็นนักรบทั้งหมดที่
เราทำได้คือการเหวี่ยงดาบ บางสถานการณ์
อาจจะทำให้เรา
ไม่สามารถใช้อาวุธได้ดังนั้นเธอต้องใช้
ไอเท็มเวทมนตร์ในช่วยเหลือตัวเอง เธอต้อง
พยายามเก็บไอเท็ม
เวทมนตร์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้
นอกจากนี้เธอต้องแน่ใจว่ามียารักษาอยู่กับ
ตัวอย่างน้อยสามขวดนะ
พวกนี้ช่วยฉันได้มากเสมอ"
ไคลม์เคยมีสามขวดเหมือนกันแต่ตอนนี้
เขามีติดตัวอยู่แค่สอง
"เข้าใจแล้วครับ" ไคลม์ตอบ
"..นี้เราไม่ได้มาให้คำปรึกษาใครในวันนี้นะ"
"น่าแค่แปปเดียวเองอีวิลอาย...
โทษทีที่ทำให้เธอล่าช้า ฉันแค่อยากบอก
ให้เธอไม่หย่อยหยานในการเตรียม
การและระมัดระวังอยู่เสมอ"
"เข้าใจแล้วครับ"
ไคลม์โค้งคำนับไปยัง กากาแรน
Part 3
เดือน9 วันที่ 3 เวลา 6.00
มีชายและหญิงเก้าคนนั่งล้อมรอบโต๊ะกลมอยู่
พวกเขาคือเหล่าหัวหน้าของแปดนิ้ว
พวกเขาทั้งแปดคนอยู่ที่นั้นแต่พวกเขาไม่ได้มองหน้ากันเลย
แต่ละคนกำลังดูเอกสารในมือของพวกเขาหรือไม่ก็คอยพูดกับสั่งการกับลูกน้องที่อยู่ด้านหลัง
มันไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขามาจากองค์กรเดียวกันเลย มันไม่ถึงกับวิกฤต แต่ความรอบคอบของพวกเขาต่อ
ศัตรูที่มีศักยภาพนั้นเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามที่มันเป็นเพียงที่คาดหวัง พวกเขาอาจอยู่ในองค์กรเดียวกัน
และทำงานร่วมกัน แต่ความจริงก็คือพวกเขาส่วนใหญ่คอยตัดผลกำไรของกันและกันพวกเขาแข่งขันกันเสมอ
เป็นครั้งคราวของในบางสถานการณ์เท่านั้นถึงได้รับการพิจารณาถึงความร่วมมือ
แผนกยาเสพติดเป็นจุดสำคัญในการจัดการทั้งหมด ทั้งด้านการผลิตการแปรรูปและการค้ามนุษย์ด้วยตัวเอง
การลักลอบค้าและหน่วยงานอื่น ๆ จะไม่ยกมือขึ้นเพื่อช่วยพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะไม่คัดค้านอย่างเปิดเผย
แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะพยายามขัดแข้งขัดขากันและกันอยู่เบื้องหลัง
กิจการเหล่านี้ซึ่งไม่ดีต่อองค์กรเกิดจากความจริงที่ว่าพวกเขาเคยเป็นกลุ่มอาชญากรรมที่แตกต่างกัน
ที่มารวมเข้าด้วยกัน
เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาที่เป็นแบบนั้นถึงมาเขารวมประชุม หัวหน้าแปดนิ้วนี้เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น
มันจะเป็นผลเสียต่อตัวพวกเขาเอง
แม้กระทั่งคนที่มักใช้เวลาอยู่ในบ้านเก็บซ่อนตัวอยู่ในห้องเหมือนตู้เซฟก็จะมาที่นี่เพื่อแสดงตัวเอง
บรรดาผู้ที่กลัวการลอบสังหารจนต้องใช่ยามมาล้อมรอบยังกับรั่วและคนอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน มีจำนวนคน
น้อยที่ได้รับอนุญาตในการประชุมแต่ละครั้งและเพื่อให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนนำคนที่ดีที่สุดสองคนมาจากหน่วย
งานของตนเองนอกเหนือไปจากตัวเอง
อย่างไรก็ตามมีหนึ่งคนที่โดดเด่นเป็นข้อยกเว้นในที่นี้
"เนื่องจากเราทุกคนอยู่ที่นี่แล้วเรามาเริ่มการประชุมกันเลนละกัน"
ขณะที่เสียงผู้ชายพูดขึ้นคนในที่ประชุมพวกเขาก็กลับไปนั่งที่ของตัวเอง จนมีเสียงดังออกมาจากเก้าอี้
ของพวกเขา
ผู้บรรยายเป็นเจ้าภาพจัดงานนี้ซึ่งเป็นผู้ประสานงานของแปดนิ้ว ถ้ามองไปยังผู้ชายคนนี้อายุน่าจะราวๆ50ปี
สวมสร้อยคอที่มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าวารีและมีใบหน้าอ่อนโยนและเมตตา เขาดูไม่เหนือนคนที่
อาศัยอยู่ในนรกแห่งนี้เลย
"มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องมีการอภิปรายและเรื่องแรกคือ-ฮิลมา"
"ขอพูด"
คนที่ตอบคือ ผู้หญิงผิวสีขาว
ผิวเธอขาวซีดจนดูอ่อนแอส่วนเสื้อผ้าของเธอนั้นก็เป็นสีขาวเธอถือ ท่อ [ไปป์ pipe] ที่มีควันสีม่วงลอยออกมา
ไว้อยู่ในมือข้างนึ่ง สักลายงูเลื้อยขึ้นไปถึงหัวไหล่. ลิปสติกสีม่วงเหมือนอายแชโดว์ของเธอ
พร้อมเสื้อผ้าที่เปราะบางของเธอ เป็นภาพของหญิงโสเภณีชั้นสูงพร้อมกับบรรยากาศของโสเภณีล้อมรอบตัวเธอ
เธอหาว ในลักษณะที่เกินความเป็นจริง เราจะเริ่มการประชุมนี้ได้ รึยัง
"ฉันได้ยินมาว่า ไร่ยาเสพติดของคุณถูกใครบางคน ทำลาย"
"ใช่พวกมันทำลายหมู่บ้านที่เราใช้เพื่อการผลิตยา รวมค่าใช้จ่ายแล้ว เราอาจจำเป็นต้องลดปริมาณการผลิตยาลง "
"ใครมีความคิดอะไรดีๆ หลังจากนี้มั้ย"
"ไม่ ไม่มีเลย แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นผลรับที่ ยากเกินกว่าใครจะรับได้
"ใครกันที่อยู่เบื่องหลัง"
เป็นคำถามที่น่าสนใจ สำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่
"ไม่มี เบาะแสอะไร ฉันก็พึ่งรู้ว่าหมู่บ้านโดนทำลาย และไม่มีเวลาที่จะหาข้อมูลเพื่ม"
"ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอให้ทุกคนกรุณายกมือขึ้น ถ้าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"
ไม่มีการตอบสนอง ไม่มีใครรู้ หรือไม่มีใครอยากบอกข้อมูล เกียวกับสิ่งที่พวกเขารู้
"ถ้างั้นสำหรับเรื่องต่อไปก็-"
“—Oi.”
เสียงทุ้มต่ำ มันเป็นเสียงของผู้ชายที่ซ่อนพลังอันเหลือเชื่อไว้ในส่วนลึกของร่างกาย
ทุกสายตา หันไปมองแหล่งที่มาของเสียงนั้น เป็นเสียงที่มาจากคน หัวล้าน
ใบหน้าครึ่งนึงเต็มไปด้วยรอยลัก อย่างไรก็ตามทุกส่วนของเค้าดูกำยำ
กล้ามเนื้อของเขานั้นใหญ่จนเห็นได้ชัด ทะลุผ่านใส่เสือผ้าของเขา
ดวงตาของเขาดูหนาวเย็น แบบนักรบ
หัวหน้าฝ่ายอื่นๆ ได้นำลูกน้องส่วนใหญ่มาด้วยแต่ไม่มีใครอยู่ด้านหลังผู้ชายคนนี้สักคน
เหตุผลเดียวก็คือ ไม่มีสาเหตุที่ต้องนำคนไร้ประโยชน์มาด้วย
ชายคนนั้นมองมาที่ ฮิลมา หัวหน้าแผนกยาเสพติด ไม่ เข้าไม่ได้มอง เป็นเพียงรูม่านตาอันเล็กที่คมกริบ
กำลังทำแบบนั้น
ยามที่อยู่ด้านหลังของเธอ มีลมหายใจที่เย็นขึ้น และ เริ่มหายใจติดขัด มันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากการกลัว
ที่มีต่อศัตรูที่แข็งแกร่ง
ถ้าทุกคนภายในห้องนี้กลายเป็นมอนเตอร์เขาก็สามารถที่จะฆ่าทุกคนในห้องนี้ได้
"ทำไมคุณถึงไม่จ้างฉันละ คุณคิดว่าพวกเงินในบัญชีของคุณที่มีอยู่จะสามารถปกป้องอะไรคุณได้หรอ? "
ชื่อของเขาคือซีโร่เขาเป็นผู้จัดการแผนกรักษาความปลอดภัย
ซึ่งจัดการ การคุ้มกันทุกสิ่งทุกอย่าง จากคนธรรมดา เพื่อคุ้มกันขุนนาง
เขามีชื่อเสียงในเรื่องความสมารถในด้านการรบมาก
ซึงมีความสามารถมากกว่าสมาชิกกลุ่มของแปดนิ้วไปมาก
และการคำตอบต่อข้อเสนอของเขาคือ -
"ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก"
-เป็นการปฎิเสธอย่างหนักแน่น
"ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก นอกจากนี้ฉันยังไม่อยากเปิดเผยที่ตั้งฐานของฉันกับคนอื่นด้วย "
นั้นคือคำตอบ ซีโร่ปิดตาลง ราวกับเขาไม่สนใจแล้ว ทำให้มันดูเหมือน ไม่ต่างกับก้อนหิน
"มันจะดีมาก ฉันจะยอมรับข้อเสนอของคุณในนามของเธอ"
คนที่พูดเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างผอมเพรียว.เขาดูอ่อนแอจนเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับซีโร่เลย
"ซีโร่, ฉันต้องการจ้างคนของคุณ"
"โอ้อะไรนะ ค็อกโคดอว คุณสามารถจ่ายไหวหรอ "
ถ้าพิจารณาว่าธุรกิจของ ฮิลมา - การค้ายาเสพติด - มันกำลังเฟื่องฟู
ส่วนของผู้ชายคนนี้ - การค้าทาส - กำลังลดลงในแต่ละวัน
นั่นเป็นเพราะเจ้าหญิงทองทำได้ทำให้การ ค้าทาส เป็นสิ่งผิดกฎหมาย,
และเป็นผลทำให้ ธุระกิจ ของเขากลายเป็น ธุระกิจใต้ดิน
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ซีโร่. และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะจ้างใครสักคนที่อยู่ในระดับของหกแขนที่สุดเท่าที่
จะเป็นไปได้ "
“โอ้.”
ซีโร่เปิดตากว้างอีกครั้งราวกับว่าเขาสนใจเรื่องนี้
เขาไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกประหลาดใจ แต่ทุกคนก็คิดเหมือนกัน
ชื่อของหกแขนมาจากเทพเจ้าแห่งโจรผู้มีหกแขน ชื่อดังกล่าว ยังกล่าวถึงผู้ที่ที่แข็งแกร่งที่สุดใน
กองกำลังรักษาความมั่นคงของธุรกิจใต้ดิน
แน่นอน คนที่อยู่ ระดับท็อปของพวกเขาคือซีโร่
แต่อีกห้าคนก็เป็นคู่แข่งที่พอทัดเทียบกับเขาได้
มีข่าวลือว่าหนึ่งในนั้นสามารถตัดพื้นได้
และอีกคนสามารถควบคุม ภาพลวงตาได้
และหนึ่งในนั้นมีแม้กระทั่งอันเดตอันทรงพลัง และเป็นที่รู้จักกันในชื่อเอลเดอร์ลิซ
ถ้ากาเซฟสโตนอฟ หรือ นักผจญภัยระดับอาดามันไทท์ คงจะถือว่าเป็น นักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในสังคม
ปกติแล้วหกแขนก็คงเป็นยอดนักรบที่ยิ่งใหญ่ ในโลกใต้ดิน หรือ ในกลุ่มคนผิดกฎหมายนี้
"มันจะทำให้เราเกิดปัญหาใหญ่ไหม?ไม่ต้องกลัว ผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของฉันจะปกป้อง
ทรัพย์สินของคุณเอง "
"อย่าให้เรื่องมันลำบากขึ้นละ มันจะมีปัญหาเหมือนกับผู้หญิงที่ควรจะถูกไล่ออกอยู่ตรงนั้น บางทีนี่อาจจะ
เป็นการแสดงออกที่มากเกินไปหน่อยละนะ แต่ถ้าที่นั้นพังมาละก็การจะซ่อมแซมก็คงเหมือนนรกเลยละ
แล้วก็เราจะหารือเรื่องค่าธรรมเนียมต่างๆในภายหลัง "
"ไม่มีปัญหา"
"นายสามารถส่งคนของนายไปได้ทันทีหลังจากจบการประชุมหรือป่าว มีบางอย่างที่ฉันต้องการให้เขา
ทำในทันที "
"เข้าใจแล้ว ฉันพาคนมาบ้าง เดียวฉันจะให้นายยืมกำลังคนของฉันละกัน "
"...จากนั้น เราก็ไปไปหัวข้อถัดไปกัน เกี่ยวกับนักผจญภัย ระดับ อดามันไทท์ที่ เพิ่งได้รับการจัดอันดับใหม่
โมมอน อัศวินแห่งความมืด มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเชาบ้างไหม หรือว่าพวกเราควรทาบทามเขาดูดี"
Intermission
เสียงโลหะที่มีค่ากระทบต่อกันและกันออกมา
หลังจากตรวจสอบให้แน่ใจแล้วว่ากระเป๋าสตางค์นั้นว่างเปล่า
ไอนซ์เริ่มจัดเรียงเหรียญที่กระจายอยู่บนโต๊ะ
เขาวางเหรียญเงินกับเหรียญทองกองละ10เหรียญแล้วเริ่มนับอีกครั้ง
หลังจากเก็บสะสมเหรียญต่างๆมาได้สักพักแล้ว ไอนซ์ ก็มองเข้าไปในกระเป๋าเงินอีกครั้ง
มันว่างเปล่าตามคาดหลังจากตรวจสอบและมองดูความเป็นจริงแล้ว
ไอนซ์ก็โยนมันทิ้ง แล้วคว้าหัวของตัวเองแล้วนั่งกุมขมับ
"ไม่พอ...เงิน..เงินมีไม่พอเลย"
ใบหน้าปลอมๆที่ถูกสร้างมา อยู่ในภาวะงุดงิดและหดหู่แน่นอนเงินก่อนหน้านี้เป็นเงินที่มากระดับหนึ่ง
คนธรรมดาต่อให้ทำงานหลายสิบปีก็คงไม่อาจสะสมเงินได้มากเท่านี้ อย่างไรก็ตามเขาที่เป็นนายเหนือ
หัวสูงสุดของนาซาริกและเป็นแหล่งรายได้เพียงอย่างเดียวนั้น มันมีน้อยถึงกระเป๋าเงินใบเดียวเท่านั้น
มันเป็นความจริงที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
สภาพจิตของไอนซ์จะถูกบังคับให้สงบทันทีเมื่อเกินขีดจำกันที่กำหนด
ดังนั้นเขาควรจะได้รับการสงบลงโดยอัตโนมัติเมื่อช็อกจากการมีเงินไม่เพียงพอ และทำไห้จิตที่ถูกทำลาย
ของเขากลับมาสงบอีกครั้ง อย่างไรก็ตามผลรวมของเงินที่เขามีก็ทำให้เขาเกิดอารมค้างคา
ที่ระบบปิดความรู้สึกของเขาไม่ทำงาน มันเป็นแค่ความรู้สึกลึกๆที่ ระบบป้องกันจิตใจของอันเดต
ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ไอนซ์ส่ายหัวและแบ่งกองเหรียญทองตรงหน้าเขาใหม่อีกครั้ง เป็นหลายกอง
"อันดับแรกนี้เป็นเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับ เซบาส"
กองเงินตรงหน้าเขาเริ่มลดลงอีกแล้ว ตอนนี้ใบหน้าของไอนซ์เริ่มกระตุกแล้ว
"แล้วสำหรับกองนี้...เงินสำหรับบูรณะและช่วยเหลือทางการเงินสำหรับหมู่บ้าน ลิซาร์ดแมน ตามความ
ปราถนาของโคคิวทัส...แล้วก็"
มันน้อยกว่ากองก่อนหน้านี้จนเหลือทองในกองไม่กี่ชิ้น
"...เงินจำนวนนี้เป็นไปตามค่าใช่จ่ายเพื่อเอาไปใช้ซื้อของจำเป็น ของหมู่บ้านลิซาร์ดแมน
ดังนั้นถ้าชั้นซื้อของจากกิลผ่านสมาคมนักผจญภัยโดยใช้ชื่อเสียงของฉันที่เป็นนักผจญภัยระดับอาดามันไทท์
เพื่อใช้มันเป็นส่วนลด...ฉันควรทำดีไหมเนี่ย"
เขาเก็บเหรียญหลายเหรียญจากกองของโคคิวทัส
หลังจากนับแล้วนับอีกไอนซ์ก็ค่อยๆเงียบลง
"บางทีมันอาจจะดี ถ้าเราจะหาพ่อค้าแล้วขอเงินค่าสปอนเซอร์
เพราะเราเป็นถึง1ในนักผจญภัยระดับอดามันเที่ยม3ทีมของราชอาณาจักรเชียวนี่
พวกพ่อค้ายังไงก็ต้องติดต่อใช้บริการเรา สำหรับ ไอนซ์ แล้วเขาสามารถทำได้ง่ายๆ
แต่เขาจะไม่ทำเช่นนั้น
นั้นเป็นเพราะไอนซ์ต้องการหลีกเลี่ยงการให้พ่อค่าและพวกนักผจญภัยเห็น"โมมอน"เป็นพวก
ละโมบเห็นแก่เงิน หรือทำทุกอย่างก็เพื่อเงิน
ไอนซ์
ต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นนักผจญภัย
ที่ได้รับความรักจากทุกคนแล้วโอนความรุ่งโรจนั้น
ไปไห้ "ไอนซ์ อูน โกว์น"
ดังนั้นเขาต้องคำนึงถึงสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดถึงเขา
"แต่...ฉันไม่มีเงินเลยอะ เงินเเทบจะไม่เหลือแล้ว
ฉันไม่ควรพักโรงแรมแพงๆแบบนี้แท้ๆ"
ไอนซ์มองไปรอบๆ ห้องที่หรูหรา
นี้คือโรงแรมที่ดีที่สุดและห้องที่ดีที่สุดใน เอ รันเทล โดยธรรมชาติแล้วห้องไหนก็เหมือนกัน
เพราะไม่จำเป็นสำหรับไอนซ์ที่ไม่ต้องนอนอยู่แล้วฉันอยากใช่เงินกับเรื่องอื่นมากกว่า
เช่นเดียวกับมื้ออาหารเขา อาหารสุดหรูที่โรงแรมเตรียมมันไม่มีความหมายสำหรับไอนซ์อยู่แล้ว
เพราะเขากินไม่ได้มันจะฉลาดกว่าถ้ายกเลิกมื้ออาหารไปซะเพื่อประหยัดเงิน
อย่างไรก็ตามไอนซ์รู้ว่าเขาไม่อาจทำยังงั้นได้
ไอนซ์...ไม่สิ โมมอนเป็นนักผจญภัย
ระดับอดามันไทท์เพียงคนเดียวในเมืองนี้
ด้วยความยิ่งใหญ่ของชื่อของ เขาไม่อาจอาศัยในบ้านโทรมๆที่เขาต้องดูแล
ทุกอย่างด้วยตัวเอง
มาตรฐานการครองชีพเป็นวิธีที่ง่ายในการเปรียบเทียบผู้คน นักผจญภัยที่ติดอันดับ อดามันไทป์
ต้องนำไลฟ์สไตล์ที่สอดคล้องกับนักผจญภัยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น อดามันไทป์
เช่นโรงแรมที่เขาพักและสิ่งที่เขาสวมเรื่องเสื้อผ้าพวกนี้แทบทำเขาเป็นบ้า
ดังนั้น ไอนซ์ ไม่สามารถไปอยู่ในที่พักราคาถูก ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันเป็นการเสียเงิน
โดยเปล่าประโยชน์
"ถ้ากิลด์ เห็นฉันสำคัญจริงพวกนั้นควรจ่ายค่าห้องให้ฉันสิ...ฮ่า...มันก็น่าจะเป็นไปได้ถ้าฉันขอ"
เขานั้นไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณใคร จนถึงปัจจุบัน แล้วเมื่อใดก็ตามที่ กิลด์ ทำคำขอเร่งด่วนของ
เขาเขาจะย้ายไปทำงานทันทีเพื่อทำให้พวกนั้นรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อเขาขึ้นมา
เมื่อเขาสะสมพลังอำนาจเพียงพอแล้วเขาก็จะเริ่มเป็นคนควบคุมเกมของเขา ถ้าเขายอมให้คน
จ่ายเงินช่วยเรื่องสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้แผนการของเขาก็คงจะพังทลาย
ในขณะที่เขาต้องการให้ ไอนซ์ อูล โกวน์กลายเป็นตำนานนิรันดร์ เห็นได้ชัดเขาไม่ต้องการให้ชื่อดัง
กล่าวกลายเป็นเรื่องน่าเสียชื่อ ไอซ์พยายามถอนหายใจภายใต้โครงหน้ากระดูกขณะที่เขาคิดถึงเงินที่ต้อง
จ่ายทั้งหมด
"อ่ะ พูดถึงเงิน เราจะทำยังไงกับเงินเดือนพวกผู้พิทักษ์ดี"
ถึงทุกคนจะบอกว่าไม่มีอะไรสุขไปกว่าการรับใช้ผู้ปกครองสูงสุด
แต่มันก็ไม่เหมาะสมถ้าจะไม่รับค่าจ้าง
ยังไงๆ เราก็ควรจะจ่ายค่าตอบแทนให้พวกเขาสำหรับการทำงานอย่างเหมาะสม
เอิม ถ้าเราคิดซ่ะว่าพวกผู้พืทักษ์เป็นหัวหน้าฝ่ายของบริษัทมีชื่อ อย่างนั้นพวกเขาควรจะได้อย่างน้อย
15ล้านเยนต่อปี
แชลเทียร์ โคคีตัส ออร่า มาเร่ เดมิ... อัลเบโดควรจะได้มากกว่าซักหน่อยมั้ง ฉะนั้นคูณ6และ...
ฮืม.....เป็นไปไม่ได้!! เราจะไปหาเงินขนาดนั้นมาจากไหน!!
นั่นล่ะ! เราตั้งสกุลเงินของตัวเองได้นี่ เหรียญที่เราสร้างจะมีค่า100000เยน
เอ๋....แต่พวกเขาจะทำอะไรกับเหรียญพวกนี้ล่ะ...ทุกอย่างในนาซาริคมันฟรี
เราไม่อยากจะไปเริ่มเก็บเงินกับสถานที่ต่างๆที่มันฟรีมาตลอด
ใช่แล้ว เราจะถามพวกนั้นไปเลยว่าอยากได้อะไร
ไอมซ์พึมพำกับตัวเอง "เป็นความคิดที่ดีอะไรเช่นนี้"
ฉันเริ่มคุยกับตัวเองบ่อยมากขึ้น แล้วสิ ไอซ์คิด
คงเพราะเราต้องอยู่คนเดียวมาตลอดแน่ๆ
ไม่ได้อะไรกับพวกNPCในนาซาริคหรอก แต่เพื่อจะเล่นบทของ
ไอมซ์ อูน โกว์น ที่พวกเขาเคารพ ผู้นำแห่งเหล่า 41
ผู้สูงส่ง
เราต้องคอยเก็บบุคลิคของ ซูซูกิ ซาโทรุ นั่นล่ะเหตุผลจริงๆ
ขณะที่ไอซ์มองเหรียญที่อยู่บนโต๊ะ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
ฮืมมม? อ่า นั่นน่าจะเป็นนาเบะที่กลับมา
"มีอะไรนาเบะ "
เสียงของเขาเป็นเสียงเดียวกับที่เขาเคยทำ
"ค่ะ ทา...คุณโมมอน"
"เจ้าเรียกข้าแบบนี้บ่อยจนมันเคยชิน ถ้าข้าเตือนเจ้า เจ้าก็จะปรับปรุงซักพัก เพราะงั้นแบบนั้นยังดีกว่า
เมื่อก่อน ไม่เป็นไร ไม่ต้องก้มหัว ข้าไม่โกรธอีกแล้ว แล้วก็ยอมเรื่องคำยกย่องแล้วล่ะ
เอาล่ะ เจ้าจะรายงานอะไร"
"ค่ะ ทา...คุณโมมอนสั่งให้พวกเหล่าพ่อค้าต่ำต้อยรวบรวมหินแร่เหล็กและพวกมันทำภารกิจที่ได้รับ
เสร็จแล้ว"
ไม่ใช่ล่ะ...นาเบะ นั่นไม่ใช่คำสั่ง ฉันแค่ไปขอพวกเขาให้ทำการค้ากับฉันเท่านั้นเอง
ไอซ์ได้แต่ต่อว่าในใจ ถึงกระนั้นการแสดงออกบนใบหน้าของไอซ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง
"งั้นเหรอ งั้นก็ไปทำการแลกเปลี่ยนให้จบซ่ะ ถ้าเป็นเรื่องเงิน ข้ามีเหลือเฟือเท่านี้คงพอใช่ไหม"
ไอซ์กวาดเหรียญบนโต๊ะใส่กระเป๋าและโยนให้นาเบะ
"เข้าใจแล้วค่ะ ขออนุญาติถามน่ะค่ะว่าจุดประสงค์ท่านคืออะไร?
"เหตุที่ข้าซื้อหินแร่เหล็กจากเหมืองในหลายๆพื้นที่น่ะเหรอ ? "
"ค่ะ"
"เพื่อจะโยนลงไปในกล่องแลกเปลี่ยนไงล่ะ ดูว่าแหล่งที่มาของเหล็กจะมีผลต่อเงินที่ได้ไหม
ฉันอยากหาพิสูจน์เรื่องนี้น่ะ"
กล่องแลกเปลี่ยน จะไม่ตัดสินรูปทรงประวัติหรือคุณค่าทางศิลปะของสิ่งของ รูปสลักเป็นแค่หิน
รูปภาพชื่อดังก็เป็นแค่สีและแผ่นผ้า ไม่สนว่ารูปปั้นที่โยนลงไปในกล่องแลกเปลี่ยน
จะสวยแค่ไหน เงินที่ได้ก็จะเหมือนกับหินที่ยังไม่ผ่านกระบวนการใดๆ แต่ถ้าเป็นของที่แตกต่างกันใน
ความบริสุทธิ์และคุณภาพล่ะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงซื้อเหล็กจากหลายๆที่ ไอซ์คิด
"อย่างที่เจ้ารู้น่ะล่ะ นาเบะ โยนแป้งสาลีลงไปมันก็ยังจะให้เงินมา"
แต่กระนั้นต่อให้โยนไปทั้งเกวียนที่บรรจุจนเต็มก็ยังให้เงินได้ไม่เยอะ..ฉะนั้นต้องผลิตจำนวนมาก
พวกอันเดดกับโกเลมสามารถเพาะปลูกทุ่งข้าวสาลีขนาดมโหฬารได้ เมื่อถึงตอนนั้น ปัญหาหลายๆอย่าง
จะถูกแก้
"เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะดำเนินการซื้อในทันที"
"ดีแล้ว แต่จงระวังตัวไว้ เหมือนกับแชลเทียร์ เจ้าก็มีอันตรายที่จะเป็นเป้าของศัตรูเหมือนกัน
ถ้าเกิดอะไรขึ้น... เจ้าคงรู้ว่าควรจะทำอะไร"
"ค่ะ ในกรณีเหตุฉุกเฉิน ให้ใช้ปีศาจเงาเป็นโล่ห์ คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองแล้วหลบหนี
ดิฉันจะเทเลพอร์ตไปที่นาซาริคปลอมที่ท่านออร่าสร้างขึ้นเพื่อป้อนข้อมูลลวงแก่ศัตรู"
"ถูกต้อง ดีมาก ยังไงซ่ะปลอดภัยไว้ก่อน เลี่ยงถนนที่ไม่ค่อยมีคนเดินซึ่งจะถูกโจมตีได้ง่าย
ต่อให้มีมนุษย์มารบกวนหรือมาคุยด้วย อย่ากระทืบพวกเขาการทำลายมือพวกโจรก็ไม่ดี
พยายามอย่าทำ และจงอย่าเรียกพวกมนุษย์เป็นแมลง เพราะพวกเราคือนักผจญภัยระดับสูงสุด
โมมอนกับนาเบะ"
"ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว"
เพื่อเขาเห็นนาเบร่าบอกว่าเข้าใจแล้ว ไอซ์ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพยักหน้า
"ดี...เจ้าไปได้"
นาเบรัลโค้งคำนับให้ก่อนออกจากห้อง ขณะที่ไอซ์มองเธอจากไป เขาก็ได้แต่ถอนหายใจลึกๆ
แม้ว่าจะไม่มีปอดก็ตาม
"ซื้อแร่เหล็ก.... ยิ่งฐานะการเงินฉันลำบาก ฉันยิ่งมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ช่างเจ็บปวดอะไรขนาดนี้"
~~~~~~~~~
ขอคนช่วยแปล
ตอบลบ